เกียวโต (Kyoto) 

,

คันไซ (Kansai)

Matsunoo Taisha ศาลเจ้าแห่งสาเก ในเมืองเกียวโต

ถ้าพูดถึงเมืองเกียวโต ทุกคนย่อมต้องนึกถึงเมืองหลวงเก่าของญี่ปุ่นที่เต็มไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย ไม่ว่าจะเป็นคินคาคุจิ (วัดทอง) วัดคิโยมิสึเดระ (วัดน้ำใส) ศาลเจ้าฟุชิมิอินาริ หรือป่าไผ่อาราชิยามะ แต่รู้หรือไม่ว่าความจริงแล้วที่เกียวโตนั้นยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอีกมากมายรอให้ทุกคนไปรู้จัก โดยสถานที่ที่เราจะมาแนะนำในวันนี้คือ Matsunoo Taisha หรือมัตสึโนะโอะ ไทฉะ ศาลเจ้าแห่งสาเกนั้นเอง

ทำความรู้จักกับ Matsunoo Taisha

ก่อนจะไปดูว่าที่นี่มีอะไร เรามาทำความรู้จักกับศาลเจ้าแห่งนี้กันก่อน ที่นี่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของถนนชินโจ โดริ ถนนสายหลักอันเป็นสายสำคัญของเมืองเกียวโต ใกล้ๆ กับป่าไผ่อาราชิยามะอันโด่งดัง ส่วนประวัติของศาลเจ้าแห่งนี้บอกเลยว่าไม่ธรรมดา เพราะที่นี่ถือเป็นศาลเจ้าที่เก่าแก่เป็นอันดับต้นๆ ของเกียวโต โดยที่นี่ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 700 หรือเกือบหนึ่งพันปีก่อน ตามตำนานได้เล่ากันไว้ว่า ในช่วงที่มีการย้ายเมืองหลวงจากนารามาเกียวโต ได้มีขุนนางคนหนึ่งขี่ม้ามาที่แห่งนี้และพบเต่าตัวหนึ่งอาศัยอยู่ที่ใต้น้ำตก ด้วยความที่เต่าเป็นสัตว์มงคล ขุนนางคนนั้นจึงได้ตั้งศาลเจ้าแห่งนี้ขึ้นมา ณ ริมน้ำตกแห่งนั้น และอยู่ยั้งยืนยงมาจนถึงทุกวันนี้

ไฮไลท์ของ Matsunoo Taisha

หลังจากทำความรู้จักกับศาลเจ้าแห่งนี้กันแล้ว เรามาดูกันดีกว่าว่าศาลเจ้าแห่งนี้มีอะไรพิเศษกันบ้าง

โทริอิยักษ์และศาลเจ้าหลัก

Matsunoo Taisha

เมื่อคุณมาถึงศาลเจ้าแห่งนี้ สิ่งแรกที่คุณจะเห็นเลยก็คือโทริอิ (ประตูศาลเจ้าญี่ปุ่น) สีแดงขนาดยักษ์ที่ตั้งโดดเด่นอยู่ด้านหน้า โดยโทริอินี้มีความสูงถึง 14 เมตร ทำจากไม้ธรรมชาติเก่าแก่ และเมื่อคุณเดินผ่านประตูเข้ามาเรื่อยๆ คุณก็จะพบกับศาลเจ้าหลัก ซึ่งสร้างขึ้นในสถาปัตยกรรมแบบพิเศษที่เรียกว่า “มัตสึโอะสึกุริ” (matsuozukuri) ซึ่งมีเอกลักษณ์ตรงที่หลังคาลาดไหลลงมาและยื่นออกเป็นระเบียงทั้งด้านหน้าและด้านหลังของอาคาร และด้วยความพิเศษนี้เอง ทำให้ที่นี่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นทรัพย์สินทางวัฒนธรรมที่สำคัญ โดยว่ากันว่าศาลเจ้าหลักแห่งนี้สร้างขึ้นมาตั้งแต่สมัยมุโรมาจิหรือประมาณปี ค.ศ. 1397 และถือเป็นอาคารไม้ไม่กี่หลังในเกียวโต ที่รอดพ้นทั้งไฟสงครามหรืออัคคีภัยต่างๆ และอยู่มาได้จนถึงปัจจุบัน

น้ำตกศักดิ์สิทธิ์และพิธีกรรมแห่งสาเก

Matsunoo Taisha

หนึ่งในไฮไลท์ที่สำคัญของที่นี่ก็คือน้ำตกศักดิ์สิทธิ์ซึ่งไหลมาจากภูเขามัตสึโนโอะ โดยที่มาของน้ำตกศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ก็มาจากที่มาของศาลเจ้าที่เราได้เล่าไว้แล้วด้านบน ก็คือเป็นน้ำตกที่ผู้สร้างศาลเจ้าแห่งนี้เห็นเต่าอยู่ใต้น้ำตกนั้นเอง และด้วยที่มาแบบนี้เอง ทำให้น้ำตกแห่งนี้ถูกตั้งชื่อว่า Reiki no Taki ซึ่งมีความหมายว่า “น้ำตกแห่งเต่าลึกลับ” 

และด้วยความที่มีน้ำตกศักดิ์สิทธิ์อยู่ในศาลเจ้า ทำให้ผู้ผลิตสาเก (เหล้าญี่ปุ่น) และมิโสะ (เต้าเจี้ยวญี่ปุ่น) มักเดินทางมาเพื่อขอน้ำศักดิ์สิทธิ์จากน้ำตกนี้มาเพื่อทำสินค้าของตัวเองจนทำให้ที่นี่กลายเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของผู้ผลิตสาเก และสร้างชื่อเสียงให้กับศาลเจ้าแห่งนี้กลายเป็นศาลเจ้าแห่งสาเกในที่สุด

ศาลเจ้าสาเก

เนื่องจากศาลเจ้าแห่งนี้มักมีนักผลิตสาเกจากทั่วเกียวโตและทั่วประเทศญี่ปุ่นเดินทางมาสักการะและมาขอน้ำศักดิ์สิทธิ์กลับไปใช้ เพื่อเป็นการตอบแทน เหล่าผู้ผลิตเหล่านี้จะถวายถังสาเกแก่ศาลเจ้าเพื่อเป็นการสักการะ แม้ว่าการถวายถังสาเกจะเป็นเรื่องปกติของศาลเจ้าญี่ปุ่น แต่ที่มัตสึโนะโอะไทฉะนั้นมีการเก็บสะสมถังที่น่าสนใจไว้จำนวนมากจนเป็นเอกลักษณ์ที่หลายคนชอบมารับชมและถ่ายรูปคู่กัน

บ่อน้ำเต่า

Matsunoo Taisha

เนื่องจากต้นกำเนิดของศาลเจ้าแห่งนี้มีที่มาจากเต่า และเต่าก็เป็นสัญลักษณ์ของความมงคลและอายุยืนยาวของประเทศญี่ปุ่น ทำให้ไม่แปลกเลยที่ภายในศาลเจ้าแห่งนี้มีรูปภาพ สัญลักษณ์ และรูปปั้นเต่าอยู่เต็มไปหมดภายในอาณาเขตของศาลเจ้า

โดยในบรรดาอะไรที่เกี่ยวกับเต่าภายในศาลเจ้าแห่งนี้ บ่อน้ำ “คาเมะโนะอิ” หรือที่แปลตรงตัวว่าบ่อน้ำเต่าก็เป็นไฮไลท์ที่โด่งดังที่สุด ซึ่งเชื่อกันว่าผู้ที่ดื่มน้ำจากบ่อนี้จะได้รับพรให้มีสุขภาพแข็งแรงและมีอายุยืนยาว นอกจากบ่อน้ำเต่านี้ ใกล้ๆ ประตูศาลเจ้าก็ยังมีเต่าดำบนก้อนหินที่เรียกว่า “นาเดะ คาเมะซัง” (Nade Kame-san) ซึ่งมีความเชื่อกันว่าหากลูบเจ้าเต่าตัวนี้ จะนำสิ่งดี ๆ มาให้แก่ผู้ที่ลูบมัน เรียกได้ว่าไม่ว่าจะเป็นที่ไหนก็เห็นเต่าเต็มไปหมด ถ้าใครมีโอกาสแวะมาที่ศาลเจ้าแห่งนี้ ก็อย่าลืมมองหาเต่าในศาลเจ้านี้กันด้วยนะ

สวนทั้งสามของมิเรย์ ชิเงโมริ

Matsunoo Taisha

นอกจากจุดเยี่ยมชมต่างๆ ที่เรากล่าวไปด้านต้นแล้ว ที่นี่ก็ยังมีอีกหนึ่งไฮไลท์ ซึ่งก็คือ สวนแบบญี่ปุ่นทั้งสามที่ถูกออกแบบโดยมิเรย์ ชิเงโมริ นักออกแบบสวนญี่ปุ่นแนวโมเดิร์นผู้มีชื่อเสียงที่สุดคนหนึ่งของเกียวโต โดยผลงานนี้เป็นผลงานสุดท้ายของเขาก่อนเสียชีวิต และถูกสร้างเสร็จในปี 1975 

โดยสวนทั้งสามที่เขาออกแบบนี้ แต่ละสวนก็มีชื่อและความหมายที่แตกต่างกัน เพื่อสื่อให้ได้ความแตกต่างและอารมณ์ความรู้สึกที่ไม่เหมือนกันขณะเยี่ยมชม โดยสวนแห่งแรกคือ “สวนโจโก” หรือแปลตรงๆ ว่า “สวนยุคโบราณ” ออกแบบมาเพื่อแทนภาพยุคโบราณของประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น โดยใช้หินขนาดใหญ่ที่มีเหลี่ยมคม ตั้งอยู่ท่ามกลางภูมิทัศน์ที่ออกแบบให้ดูเหมือนยอดเขาป่าอันดิบดั้งเดิม

ส่วนสวนถัดมาก็คือ “สวนโฮไร”  ที่สวนซึ่งสร้างโดยการตีความแนวคิดแดนสรวงสวรรค์ “โฮไร” ตามตำนานจีนและญี่ปุ่นตามแบบยุคสมัยคามาคุระ โดยหินถูกจัดวางให้แทนเกาะต่าง ๆ ท่ามกลางทะเล และสุดท้ายก็คือ “สวนเคียวคุซุย” ที่แปลเป็นไทยได้ว่า “สวนธารน้ำคดเคี้ยว” สำหรับสวนนี้จะเป็นสวนสไตล์สมัยเฮอัน มีลำธารใสไหลคดเคี้ยวผ่านโขดหินและพุ่มดอกสึสึจิ (อาซาเลีย) สร้างบรรยากาศสงบและงดงาม

เรียกได้ว่าทั้งสามสวนนี้ให้เสน่ห์ที่แตกต่างกันและเป็นทิวทัศน์ที่แสดงถึงวัฒนธรรมญี่ปุ่นได้อย่างลึกซึ้ง สำหรับคนที่สนใจจะเยี่ยมชมสวนนี้ จะมีค่าเยี่ยมชมคนละ 500 เยน (ศาลเจ้าหลักเยี่ยมชมฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย)

การเดินทาง

สำหรับการเดินทางมาที่ศาลเจ้าแห่งนี้ บอกเลยว่าง่ายมากๆ เพียงแค่นั่งรถไฟสาย Hankyū Arashiyama เพื่อมาลงที่สถานี Matsuo Station จากนั้นเดือนอีกประมาณ 3 นาทีก็ถึงศาลเจ้าแล้ว ใช้เวลาเดินทางประมาณ 40 นาทีจากสถานีเกียวโต

หรือหากใครที่อยากนั่งรถบัสเพื่อชมวิวทิวทัศน์ที่สวยงามของเมืองเกียวโตก่อนมายังที่นี่ เราก็สามารถนั่งรถบัส Kyoto City Bus Route 28 หรือ Keihan Bus เพื่อมาลงที่ป้าย Matsuno’o Taisha-mae Bus Stop สำหรับป้ายนี้ เรียกได้ว่าอยู่หน้าศาลเจ้าเลยทีเดียว 

Matsunoo Taisha

ที่อยู่ : 〒616-0024 Kyoto, Nishikyo Ward, Arashiyama Miyamachi, 3

เวลาเปิด-ปิด : 05:00 – 18:00

เบอร์โทรศัพท์ : 075-871-5016

ด้วยความที่เป็นเมืองเก่าที่มีอายุยาวนานกว่า 1 พันปี ทำให้เมืองเกียวโตแห่งนี้มีสถานที่ท่องเที่ยวสวยๆ หรือประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจเต็มใจเต็มไปหมด ถ้ามีโอกาส เดี๋ยวเราจะมาเล่าให้ทุกคนนฟังกันอีกนะ

Share :

บทความที่เกี่ยวข้อง

สถานที่ท่องเที่ยวญี่ปุ่น

บทความล่าสุด