ญี่ปุ่น (Japan)

ไปญี่ปุ่น ต้องเตรียมอะไรบ้าง? ต้องใช้เงินเท่าไหร่? เตรียมตัวยังไงไม่ให้พลาด 2025

มือใหม่ เที่ยวญี่ปุ่นด้วยตนเอง ครั้งแรก ไปญี่ปุ่น จะต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง? ต้องใช้เงินเท่าไหร่? เตรียมตัวยังไงไม่ให้พลาด เที่ยวได้อย่างสบายใจ 2025 ไม่ได้ภาษาญี่ปุ่นแต่เอาตัวรอดได้แน่นอน การเดินทางไปประเทศญี่ปุ่นเป็นเป้าหมายของใครหลายคน เพราะญี่ปุ่นยังคงเป็นหนึ่งในประเทศยอดฮิตของนักท่องเที่ยวชาวไทย ด้วยวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ อาหารอร่อย มีธรรมชาติสวยงาม จะเที่ยวฤดูไหนก็สวย และที่สำคัญคือ การเดินทางสะดวกปลอดภัย แต่การจะเที่ยวญี่ปุ่นให้ราบรื่น ไม่พลาด และไม่เจ็บตัวเรื่องงบประมาณ ก็ต้องมีการวางแผนเตรียมตัวให้ดี เพื่อให้การทริปของคุณเป็นไปอย่างราบรื่นมีความสุข

ไปญี่ปุ่น ต้องเตรียมอะไรบ้าง? ต้องใช้เงินเท่าไหร่? เตรียมตัวยังไงไม่ให้พลาด 2025

– ไปญี่ปุ่น ต้องเตรียมตัวอะไรบ้าง –

1. หนังสือเดินทาง พาสปอร์ต (Passport)

ไปญี่ปุ่น

หนังสือเดินทาง (Passport) ต้องมีอายุเหลืออย่างน้อย 6 เดือนก่อนวันเดินทาง ถ้าหากพาสปอร์ตมีอายุน้อยกว่า 6 เดือนก่อนวันเดินทาง ควรทำพาสฟอร์ตใหม่ เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้น เช่น สายการบินอาจไม่ให้ขึ้นเครื่อง อาจถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าประเทศ สร้างความยุ่งยากตอนผ่านขั้นตอนตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ญี่ปุ่น

2. Visit Japan Web

Visit Japan Web เป็นเว็บไซต์ของรัฐบาลญี่ปุ่นโดยตรง ใช้สำหรับการผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากร เปรียบเสมือนการกรอกแบบฟอร์มตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ผ่านระบบออนไลน์ ช่วยอำนวยความสะดวกให้นักท่องเที่ยวในการเตรียมตัวก่อนเดินทาง ลดขั้นตอนด้านศุลกากร และการตรวจคนเข้าเมือง ทำให้การเดินทางเข้าสู่ประเทศญี่ปุ่นรวดเร็วและราบรื่นยิ่งขึ้น

3. วีซ่าญี่ปุ่น

คนไทย ต้องขอวีซ่าไปญี่ปุ่นไหม? ถ้าอยู่เที่ยวไม่เกิน 15 วัน ไม่ต้องขอวีซ่า เนื่องจากทางการญี่ปุ่น ให้วีซ่าฟรี แก่นักท่องเที่ยวชาวไทยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และสนับสนุนการท่องเที่ยว แต่หากอยู่เกิน 15 วัน ต้องขอวีซ่าตามประเภทของตนเอง หากฝ่าฝืนจะมีโทษห้ามเข้าญี่ปุ่นขั้นต่ำ 1 ปีขึ้นไป

สรุป ประเทศญี่ปุ่น ยกเว้นวีซ่าให้คนไทย สำหรับการท่องเที่ยวไม่เกิน 15 วัน ตั้งแต่ปี 2013 และยังคงมีผลในปี 2025

กรณีไหนบ้างที่ “ต้องขอวีซ่าญี่ปุ่น”
1. ท่องเที่ยวเกิน 15 วัน
2. ทำงาน/เรียน/ธุรกิจ ฯลฯ
3. เคยมีประวัติเข้าญี่ปุ่นแล้ว เกินกำหนดพำนัก หรือเคยถูกปฏิเสธเข้าเมือง
4. เดินทางด้วย เอกสารเดินทาง (ไม่ใช่หนังสือเดินทางไทย) เช่น พาสปอร์ตชั่วคราว, พาสปอร์ตต่างด้าว

4. ตั๋วเครื่องบินไป-กลับ

การจะไปเที่ยวประเทศญี่ปุ่นแน่นอนว่าก็ต้องมีตั๋วเครื่องบิน ซึ่งตั๋วเครื่องบินไม่ได้มีเอาไว้แค่ใช้เพื่อเดินทางไป – กลับเท่านั้น แต่การเดินทางเข้าญี่ปุ่นจำเป็นจะต้องใช้ข้อมูลจากตั๋วเครื่องบินสำหรับ ลงทะเบียนในเว็บไซต์ Visit Japan Web เพื่อกรอกข้อมูลในส่วนด่านตรวจคนเข้าเมือง และข้อมูลศุลกากร

ตั๋วเครื่องบินใช้ทำอะไรบ้าง?
✅ ใช้แสดงตอน ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ญี่ปุ่น
✅ สายการบินอาจ ไม่ให้คุณขึ้นเครื่อง ถ้าไม่มีตั๋วขากลับ
✅ ใช้ลงทะเบียนในระบบ Visit Japan Web
ถ้าไม่มีตั๋วขากลับ อาจถูก ตั้งข้อสงสัยว่าคุณจะอยู่เกินกำหนด และเสี่ยงถูก ปฏิเสธเข้าเมือง

5. ข้อมูลการจองโรงแรม – ที่พัก

สิ่งสำคัญอย่าลืมจองโรงแรมที่พักล่วงหน้าให้เรียบร้อย เพื่อให้คุณมีที่พักรองรับตลอดช่วงเวลาที่อยู่ในญี่ปุ่น และยังช่วยให้เบาใจว่าไปถึงญี่ปุ่นมีที่พักชัวร์ เพื่อลดขั้นตอนความยุ่งยากในการไปเที่ยว ถ้าหากคุณลืมจองที่พักล่วงหน้า คุณอาจเจอปัญหา 1.เสียเวลานั่งหาที่พัก 2.ที่พักราคาสูง นอกจากนี้ยังต้องใช้ข้อมูลการจองเพื่อเป็นหลักฐานแสดงต่อเจ้าหน้าที่ด่านตรวจคนเข้าเมือง ว่าคุณมาเที่ยวจริง มีที่พักจริง

✅ ต้องมีข้อมูลอะไรบ้าง?
1. ชื่อผู้จอง (ตรงกับพาสปอร์ต)
2. ชื่อโรงแรม / ที่พัก
3. ที่อยู่ และเบอร์โทรศัพท์ของที่พัก
4. วันที่เช็คอิน – เช็คเอาต์
5. หมายเลขการจอง (Booking Number)
6. QR Code (ถ้ามี)

6. ประกันการเดินทาง

การทำประกันการเดินทาง แนะนำอย่างยิ่ง ถึงแม้ว่าเราจะเดินทางไปญี่ปุ่นเพียงไม่กี่วันก็ควรจะทำเอาไว้ ถ้าหากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด หรือมีปัญหาใดๆ การทำประกันการเดินทางค่อนข้างครอบคลุมในหลายๆ เรื่อง หากไม่มีประกัน คุณต้องควักจ่ายเองทั้งหมด แต่ถ้าหากมีประกันดี ๆ แทบไม่ต้องจ่ายเองเลย เพราะบริษัทประกันจะออกให้ หรือคืนเงินให้เราหลังเคลม รวมถึงประกันบางแห่งอาจมีแพ็กเกจบริการ “ช่วยจองตั๋วใหม่” หรือ “ดูแลประสานงานกับสายการบินให้ด้วย”เรียกได้ว่าเป็นทีมซัพพอร์ตส่วนตัวอยู่กับคุณตลอดทริป

เหตุผลที่ควรมีประกันการเดินทาง (แม้ไปญี่ปุ่นไม่กี่วัน)
1. คุ้มครองค่ารักษาพยาบาล (ที่ต่างประเทศแพงมาก!)
2. กรณีไฟลต์ดีเลย์/ยกเลิก/กระเป๋าหาย
3. คุ้มครองอุบัติเหตุ/เสียชีวิต
4. บางกิจกรรมเสี่ยง อาจไม่ได้รับความช่วยเหลือถ้าไม่มีประกัน เช่น ไป สกีที่ฮอกไกโด ปีนฟูจิ ปั่นจักรยานเสือภูเขา ฯลฯ ถ้าบาดเจ็บและไม่มีประกัน คุณจะต้องจ่ายเองทั้งหมด
5. ช่วยในกรณีฉุกเฉินทางกฎหมาย/เดินทางกลับฉุกเฉิน

7. วางแผนการเดินทางล่วงหน้า

การวางแผนการเดินทางล่วงหน้าไปญี่ปุ่น (หรือไปต่างประเทศ) เป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้ทริปของคุณ สนุก คุ้มค่า ไม่พลาดอะไรสำคัญ และควบคุมงบได้ดี ซึ่งเป็นสิ่งที่จะทำให้คุณรู้ว่า ควรจะจัดกระเป๋าแบบไหน? และจะต้องใช้งบประมาณเท่าไหร่? สำหรับการเดินทางในครั้งนี้ เช่น

1. จะไปช่วงไหน? ฤดูอะไร? เพื่อที่จะได้เตรียมตัว เช่น เสื้อผ้า และเพื่อที่จะได้รู้ว่าค่าตั๋วเครื่องบินช่วงเวลาดังกล่าวประมาณเท่าไหร่?
2. ไปทั้งหมดกี่วัน? จะพักที่ไหน? เพื่อใช้ในการคำนวณค่าที่พัก
3. อยากเที่ยวแบบไหน? (สายธรรมชาติ สายชมเมืองเก็บ Landmark สายกิน สายช้อปปิ้ง สายมูเข้าวัด ฯลฯ) จะได้สามารถคำนวณได้ว่า ค่าเดินทางเท่าไหร่? และก็จะได้สามารถวางงบได้ว่าจะใช้สำหรับค่าอาหารเท่าไหร่? ค่าชอปปิ้งเท่าไหร่?

เพื่อที่คุณจะได้สามารถคำนวณงบประมาณต่อคนว่าเป็นประมาณเท่าไหร่?

8. ศึกษาแหล่งท่องเที่ยว

การศึกษาข้อมูลล่วงหน้าจะช่วยให้ คุณสามารถวางแผน และคุ้มค่า ไม่พลาดไฮไลต์ ประหยัดทั้งเวลาและเงิน และยังช่วยให้เที่ยวญี่ปุ่นได้อย่างสบายใจและสนุกมากขึ้น เพราะญี่ปุ่นมีแหล่งท่องเที่ยวเยอะมาก หากไม่วางแผนล่วงหน้า อาจเสียเวลาเลือกสถานที่หน้างาน

การศึกษาแหล่งท่องเที่ยวได้อะไร?
1. วางแผนเวลาและเส้นทางได้ดี ช่วยจัดลำดับสถานที่ตามภูมิภาค เช่น โตเกียว, โอซาก้า, ฮอกไกโด เพื่อลดเวลาในการเดินทาง รู้ว่าต้องใช้ JR Pass หรือบัตรโดยสารชนิดไหน คุ้มค่ากว่า
2. ประหยัดงบประมาณ รู้ราคาค่าเข้า ค่าเดินทาง และส่วนลดพิเศษ เช่น Pass บัตรเข้าชมออนไลน์ จองที่พักใกล้สถานที่ท่องเที่ยวเพื่อลดค่าเดินทาง
3. จองล่วงหน้าเพื่อไม่พลาดประสบการณ์ สถานที่ยอดนิยม เช่น teamLab Planets, Universal Studios Japan หรือพิพิธภัณฑ์จิบลิ (Studio Ghibli Museum) มักต้องจองตั๋วล่วงหน้า ลดความเสี่ยงตั๋วหมด หรือคิวรอนาน
4. ไปถูกช่วงเวลาและฤดูกาล อันนี้สำคัญมากถ้าหากไปเที่ยวสถานที่นั้นๆ ในฤดูที่ไม่เหมาะก็อาจจะไม่ได้เห็น หรือได้รับประสบการณ์ที่ดี เช่น เทศกาลหิมะซัปโปโร
5. เตรียมเครื่องมือช่วยการเดินทาง โหลดแอปแปลภาษา แผนที่ รถไฟ และแอปจองตั๋ว เตรียมความพร้อมสำหรับการเดินทาง

9. ศึกษาดูสภาพอากาศล่วงหน้า

การศึกษาสภาพอากาศล่วงหน้าก่อนเดินทางไปญี่ปุ่น สำคัญมาก เพราะช่วยให้เตรียมตัวและเที่ยวได้อย่างสบายและปลอดภัย วันนี้ฝนตก วันนี้แดด ออกเพื่อที่เราจะได้มีการปรับเปลี่ยนแผนให้เข้ากับสถานการณ์นั้นๆ ได้ทันเวลา และแต่งตัวได้อย่างเหมาะสม บางคนอยากเน้นถ่ายรูป แต่ไม่ได้ดูว่าจุดที่จะต้องไปวันนั้นมีฝนตกหรือไม่? หากรู้ล่วงหน้า จะได้สลับไปทำกิจกรรมในร่มแทน เช่น ไปพิพิธภัณฑ์ ไปคาเฟ่ หรือไปช้อปปิ้ง แทน ช่วยลดโอกาสเจอเหตุขัดข้อง เช่น กระเช้าลอยฟ้าปิด หรือรถไฟบางเส้นทางหยุดให้บริการ และยังสามารถเลือกวันเที่ยวที่ท้องฟ้าแจ่มใส เหมาะสำหรับถ่ายภาพได้อีกด้วย

10. เตรียมเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายให้เหมาะสม

การเตรียมเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายให้เหมาะสมก็เป็นอีกสิ่งสำคัญ เพราะที่ประเทศญี่ปุ่นมี 4 ฤดูที่แตกต่างกันมาก การเตรียมเสื้อผ้าให้เหมาะช่วยให้ ร่างกายปรับตัวได้ดี ลดความเสี่ยงเป็นหวัด หรือไม่สบาย จะได้เที่ยวได้อย่างสนุก และสามารถเลือกที่ชุดสำหรับถ่ายภาพได้เหมาะสม

  • 🌸 ฤดูใบไม้ผลิ (มีนาคม – พฤษภาคม) อากาศเย็นสบาย แต่เช้า–เย็นอาจหนาว
  • 🌞 ฤดูร้อน (มิถุนายน – สิงหาคม) ช่วงหน้าร้อนและชื้น ควรใส่เสื้อผ้าที่ระบายอากาศได้ดี
  • 🍁 ฤดูใบไม้ร่วง (กันยายน – พฤศจิกายน) ช่วงอากาศเย็นลง ต้องเตรียมเสื้อคลุม
  • ❄️ ฤดูหนาว (ธันวาคม – กุมภาพันธ์) เป็นช่วงอากาศหนาวจัด บางพื้นที่ติดลบ ต้องมีเสื้อโค้ท หน้ากากกันหนาว ถุงมือ

11. วิธีการใช้ Internet / Wi-Fi (Roaming)

ควรศึกษาวิธีการใช้ Internet / Wi-Fi ให้เรียบร้อย เพราะอินเทอร์เน็ตสำคัญอย่างมากเพื่อให้คุณสามารถเดินทางได้สะดวกมากยิ่งขึ้น เช่น การใช้แอปแผนที่ Google Maps จำเป็นต้องใช้อินเทอร์เน็ตตลอดเวลา ลดโอกาสหลงทางในการเดินทาง และใช้ติดต่อโรงแรม ร้านอาหาร หรือบริการต่าง ๆ ได้ รวมไปถึงใช้ค้นหารีวิวร้านอาหาร แหล่งท่องเที่ยว หรือข้อมูลเทศกาลในพื้นที่ ที่คุณอยากรู้ ณ ตอนนั้น และที่สำคัญหากคุณใช้ผิดวิธีอาจทำให้คุณเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม

12. ไปญี่ปุ่นยังจำเป็นต้องแลกเงินเยนไหม?

ยังจำเป็นจะต้องพกเงินสดติดตัวไป ถึงแม้ญี่ปุ่นจะเริ่มเข้าสู่สังคมไร้เงินสดมากขึ้น แต่ “เงินสด” ก็ยังจำเป็นในหลายสถานการณ์ โดยเฉพาะในพื้นที่นอกเมืองตามต่างจังหวัด ร้านเล็ก ๆ และร้านท้องถิ่นหลายแห่งยัง “รับเฉพาะเงินสด” รวมถึงตู้ขายของอัตโนมัติบางตู้ยังไม่รับบัตร ศาลเจ้า วัด และจุดชมวิว มักใช้เงินสดบริจาค/จ่ายค่าเข้ากันอยู่ เพื่อให้การเดินทางสะดวกมากยิ่งขึ้นควรมีเงินเยนติดตัวเอาไว้ด้วย อาจจะแลกติดกระเป๋าไว้สักหน่อย ประมาณ 10,000 – 30,000 เยน ในกรณีที่แลกเงินไปแล้วไม่พอใช้ สามารถใช้บัตร Travel Card หรือ Credit Card กดเงินสดจากตู้ ATM ที่รองรับบัตรนั้นๆ ของคุณ ได้เหมือนกัน

13. เผื่อเวลาเดินทางไปสนามบิน

การเผื่อเวลาเดินทางไปสนามบินสำคัญอย่างมาก เพราะเราไม่รู้ว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันอะไรบ้าง ทางที่ดีเพื่อหลีกเลี่ยงการพลาดเที่ยวบิน ควรไปถึงสนามบินอย่างน้อย 3 ชั่วโมง สายการบินส่วนใหญ่มักจะปิดเคาน์เตอร์เช็กอินก่อนเครื่องออก 45-60 นาที รวมไปถึงขั้นตอนตรวจเอกสาร และสแกนสัมภาระอาจใช้เวลานานกว่าที่คิด การมีเวลาเหลือจะช่วยลดความเครียดและเร่งรีบของเรา มีเวลาจัดเตรียมเอกสารความเรียบร้อย มีเวลารับประทานอาหาร หรือพักผ่อน เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนขึ้นเครื่อง ลดความกังวล และเริ่มทริปได้อย่างสบายใจ

– ไปญี่ปุ่น ต้องมีงบเท่าไหร่ ? –

ไปเที่ยวญี่ปุ่น ต้องมีงบเท่าไหร่? “ขึ้นอยู่กับสไตล์การเที่ยวของคุณ” เช่น จะไปเที่ยวกี่วัน ไปเมืองไหน เที่ยวแบบไหน (ประหยัด / ปานกลาง / พรีเมี่ยม) และก็ขึ้นอยู่กับช่วงที่จะไป เพราะถ้าไปช่วงเทศกาล/ฤดูหนาว ค่าใช้จ่ายอาจสูงขึ้น หากจองตั๋วล่วงหน้าและจองที่พักดีๆ งบสามารถประหยัดได้มาก

1. ค่าใช้จ่ายจำเป็นมีอะไรบ้าง?

1. ค่าตั๋วเครื่องบิน ราคาเริ่มต้น 10,000 – 18,000 บาท แนะนำว่าให้จองล่วงหน้าจะได้ราคาถูกกว่า ขึ้นอยู่กับช่วงที่จะไปด้วย
2. ค่าที่พัก ที่พักสำหรับเที่ยวญี่ปุ่นแบบประหยัด มีตั้งแต่โฮสเทล โรงแรม 2-3 ดาว ประมาณ 2,000 – 3,000 บาท/ห้อง/คืน
3. ค่าอาหาร ราคาเริ่มต้น 200 – 300 บาท/มื้อ (เฉลี่ยราวๆ 600 – 1,000 บาทต่อวัน)
4. ค่าเดินทางในเมือง/ข้ามเมือง ตั๋วรถไฟธรรมดาประมาณ 100 – 300 บาท
5. ค่ากิจกรรม/เข้าสถานที่ การเข้าสถานที่สำคัญต่างๆ ประมาณ 160 – 1,000 บาท
6. ค่าประกันเดินทาง มีแผนประกันให้เลือกหลายแบบ ประมาณ 500 – 1,000 บาท
7. ค่าซิมเน็ตต่างประเทศ มีให้เลือกหลายแบบ ประมาณ 500 – 1,000 บาท
8. ค่าของฝาก ของฝากญี่ปุ่น มีเยอะมาก ทั้งของกิน เครื่องสำอาง ของเล่น เฉลี่ย 1,500- 2,000 บาท

ตัวอย่าง ไปเที่ยวญี่ปุ่นแบบ 7 วัน (แบบปานกลาง) ต่อคน

รายการงบโดยประมาณ
ค่าตั๋วเครื่องบิน10,000 – 18,000 บาท
ค่าที่พักโรงแรม 6 คืน (2–3 ดาว)6,000 – 12,000 บาท
ค่าอาหาร (500–800/วัน)3,000 – 6,000 บาท
ค่าเดินทางในเมือง/ข้ามเมือง2,000 – 4,000 บาท
ค่ากิจกรรม/เข้าสถานที่2,000 – 5,000 บาท
ค่าประกันเดินทาง500 – 1,000 บาท
ค่าซิมเน็ตต่างประเทศ500 – 1,000 บาท
ค่าของฝาก1,500 – 3,000 บาท
รวมค่าใช้จ่ายทั้งหมดโดยประมาณ26,000 – 50,000 บาท

📌 สรุปสั้น ๆ ไปญี่ปุ่น ต้องมีงบเท่าไหร่?
1. ถ้าเป็นสายประหยัดเตรียมไว้ประมาณ 30,000 บาท
2. ถ้าเป็นสายชิล ๆ กลาง ๆ มีพิเศษบ้างเตรียมไว้ประมาณ 40,000 – 60,000 บาท กำลังดี
3. แต่ถ้าเป็นสายเที่ยวกินหรูอยู่สบายเตรียมไว้ประมาณ 60,000 – 100,000 บาทขึ้นไป (ไม่รวมค่าช้อปปิ้งของแบรนด์เนม)

2. ค่าใช้จ่ายอื่นๆ เพิ่มเติมมีอะไรบ้าง?

นอกจากค่าตัวเครื่องบิน ค่าที่พัก ค่าอาหาร ค่าเดินทางด้วยวิธีปกติแล้ว อาจจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม อย่างเช่น ไปถึงหน้างานแล้วอยากเปลี่ยนมาลองนั่งรถไฟความเร็วสูง อย่าง รถไฟชินคันเซน (Shinkansen) หรือ ต้องค่าเข้าสถานที่ท่องเที่ยวพิเศษ อย่าง Universal Studios Japan (USJ) หรือ Tokyo Disneyland

1. Tokyo Disneyland ค่าเข้าประมาณ 2,000 – 2,700 บาท ราคาขึ้นอยู่กับช่วงเวลาที่ไป
1.1) Disney Premier Access (DPA) ซื้อเป็นรายเครื่องเล่น ราคาประมาณ 300 – 500 บาท/ต่อเครื่องเล่น

2. Tokyo DisneySea บัตรเข้าสวนสนุก ประมาณ 2,000 – 2,700 บาท ราคาขึ้นอยู่กับช่วงเวลาที่ไป
2.1) Disney Premier Access (DPA) ซื้อเป็นรายเครื่องเล่น ราคาประมาณ 300 – 500 บาท/ต่อเครื่องเล่น

3. Universal Studios Japan (USJ) บัตรเข้าสวนสนุก ประมาณ 2,150 – 2,600 บาท ราคาขึ้นอยู่กับช่วงเวลาที่ไป
3.1) Universal Express Pass บัตรข้ามคิวรอเครื่องเล่น ประมาณ 2,300 – 5,500 บาท ขึ้นอยู่กับแพ็กเกจที่เลือก

4. บัตรรถไฟ JR Pass บัตรโดยสารแบบไม่จำกัดเที่ยว ราคาเริ่มต้นประมาณ 1,300 – 31,000 บาท
ขึ้นอยู่กับระยะเวลาการใช้งาน ภูมิภาคที่เดินทาง และประเภทที่นั่งที่เลือก เช่น 7 วัน / 14 วัน / 21 วัน แบบ Ordinary (Standard Class) หรือ Green (First Class)
5. ตั๋วรถไฟชินคันเซ็น (Shinkansen) ประมาณ 1,000 – 6,000 บาท ขึ้นอยู่กับสถานที่ที่จะไป
6. TeamLab Planets (Tokyo) ประมาณ 950 บาท
7. พิพิธภัณฑ์ Ghibli ประมาณ 200 – 400 บาท
8. ค่าเช่าชุดกิโมโน / ยูคาตะ ประมาณ 650 – 2,500 บาท/วัน
9. ค่าฝากกระเป๋า (ตู้ล็อกเกอร์ที่สถานีรถไฟหรือสถานที่ท่องเที่ยว) ประมาณ 25 – 200 บาท ขึ้นอยู่กับขนาดของกระเป๋า
10. ค่าออนเซ็น / แช่น้ำพุร้อน ประมาณ 100 – 500 บาท (ขึ้นอยู่กับสถานที่ที่จะใช้บริการ)

Share :

บทความที่เกี่ยวข้อง

สถานที่ท่องเที่ยวญี่ปุ่น

บทความล่าสุด