ถ้าพูดถึงสถานที่ท่องเที่ยวญี่ปุ่นที่ฮิตและมาแรงที่สุดในช่วงนี้ หลายๆ คนอาจจะต้องนึกถึงชื่อ “คามิโคจิ” เจ้าของสมญานาม “เทือกเขาแอลป์แห่งประเทศญี่ปุ่น” แห่งนี้อย่างแน่นอน ด้วยความที่เป็นสถานที่ที่มีทิวทัศน์ที่สวยงามอย่างกับภาพวาด อากาศเย็นสบายเนื่องจากอยู่บนที่สูง และยังให้ความรู้สึกสงบอย่างน่าประหลาดแม้จะมีนักท่องเที่ยวจำนวนมาก ทำให้ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมที่นี่ถึงเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวและคนรักประเทศญี่ปุ่นทั่วโลก สำหรับใครที่ยังไม่รู้จักสถานที่แห่งนี้ เรามาทำความรู้จักไปพร้อมๆ กันกับบทความนี้เลยดีกว่า
คามิโคจิ คืออะไร อยู่ที่ไหน

สำหรับคนที่ยังไม่รู้จักว่าคามิโคจิคืออะไร คามิโคจิคือหุบเขาทางธรรมชาติที่เป็นส่วนหนึ่งของ อุทยานแห่งชาติจูบุซังกากุ (Chubu Sangaku National Park) ในจังหวัดนากาโนะ ภายในประกอบไปด้วยแม่น้ำอาซุสะที่ใสสะอาด ภูเขาโฮตะกะที่ยิ่งใหญ่ตระการตา และป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์ ทำให้ไม่แปลกเลยสถานที่แห่งนี้จะได้ขึ้นชื่อว่า “เทือกเขาแอลป์แห่งประเทศญี่ปุ่น” และเป็นสถานที่ที่ได้รับการยกย่องให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สำคัญระดับชาติ (Special Natural Monument) และสถานที่ท่องเที่ยวที่มีทัศนียภาพงดงาม (Special Place of Scenic Beauty) โดยรัฐบาลญี่ปุ่น
ฤดูกาลที่เหมาะสมกับการเที่ยว คามิโคจิ
เนื่องจากเป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่ตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติ ทำให้สิ่งหนึ่งที่ต้องคำนึงถึงก็คือฤดูกาลที่เหมาะสมในการไปเที่ยว เพราะบางฤดูกาลอาจจะเป็นอันตรายในการท่องเที่ยว หรือบางฤดูก็จะมีวิวทิวทัศน์ที่สวยงามเฉพาะตัว ทำให้ก่อนจะไปเที่ยวคามิโคจิละก็ ต้องดูฤดูกาลที่จะไปให้ดีๆ
ฤดูหนาว

ซึ่งคามิโคจินั้นจะทางอุทยานไม่ให้นักท่องเที่ยวเข้าในช่วงฤดูหนาวด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย ทำให้สามารถไปเที่ยวที่นี่ได้แค่ในช่วงเดือนกลางเมษายนถึงปลายเดือนพฤศจิกายน หรือแค่ฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน และฤดูใบไม้ร่วงเท่านั้น ซึ่งแต่ละฤดูก็จะมีวิวทิวทัศน์ที่แตกต่างกันออกไป
ฤดูใบไม้ผลิ

โดยในช่วงฤดูใบไม้ผลิ (เดือนเมษายนถึงเดือนมิถุนายน) ที่คามิโคจิจะยังมีอุณหภูมิค่อนข้างเย็น และยังมีหิมะให้เห็นอยู่เป็นบางช่วง แต่ต้นไม้ใบหญ้าก็จะเริ่มเขียวขจีเหมาะสำหรับการถ่ายรูป และเนื่องจากไม่ใช่ไฮซีซั่น ทำให้คามิโคจิในช่วงฤดูใบ้ไม้ผลิเป็นฤดูที่เงียบสงบและนักท่องเที่ยวน้อย เหมาะกับคนที่ไม่ชอบมาเที่ยวพร้อมกับคนเยอะๆ
ฤดูร้อน

ต่อมาในฤดูร้อนจะจะช่วงที่ฤดูที่คนเริ่มเข้ามาเที่ยวกัน เพราะใบไม้ในอุทยานจะเขียวชอุ่มถ่ายรูปสวย อีกทั้งยังอากาศเย็นสบายเพราะอยู่ที่สูง ทำให้ที่นี่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวหลบร้อนยอดนิยมของชาวญี่ปุ่น
ฤดูใบไม้ร่วง (ใบไม้เปลี่ยนสิ)

และสุดท้ายฤดูใบไม้ร่วงจะเป็นฤดูที่เป็นที่นิยมสูงสุด เพราะต้นไม้ภายในอุทยานจะเริ่มเปลี่ยนสี เป็นทิวทัศน์ที่เห็นใบไม้เหลืองสลับแดงตัดกับน้ำใสบนแม่น้ำและภูเขาสูง จึงไม่แปลกเลยที่ทำให้ที่นี่เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยม
ไฮไลท์ที่ต้องไปใน คามิโคจิ
หลังจากเราทำความรู้จักกับคามิโคจิกันแล้ว เรามาพูดถึงเรื่องไฮไลท์ห้ามพลาดของที่นี่กันบ้างดีกว่า เพราะว่าที่นี่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวแนวธรรมชาติที่เดินเล่นในอุทยาน ทำให้ที่นี่มีเส้นทางการเยี่ยมชมหลายแบบ ไม่ว่าจะเป็นเส้นทางเดินทางราบธรรมดา เส้นทางเดินเขาสำหรับนักปีนเขาระดับกลาง หรือแม้กระทั่งเส้นทางระดับสูงที่ต้องใช้เวลาเดินป่าเป็นเวลาหลายวัน แต่สำหรับคนทั่วไปแล้ว เส้นทางที่เหมาะสมจะเป็นเส้นทางเลียบแม่น้ำอาซุสะที่ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3-4 ชม. ในการเดิน โดยมีไฮไลท์ต่างๆ ตามทางดังต่อไปนี้
บึงไทโช (Taisho Pond)

สำหรับไฮไลท์จุดแรกที่เราอยากจะแนะนำก็คือบึงไทโช หรือ Taisho Pond สำหรับที่นี่ถือเป็นบึงขนาดเล็กที่เกิดขึ้นในปี 1915 จากการระเบิดของภูเขาไฟยะเกะ โดยดินและเศษขี้เถ้าต่างๆ ไหลลงมาที่แม่น้ำอาซุสะและขวางทางน้ำจนก่อให้เกิดบึงแห่งนี้ขึ้นมา จุดเด่นของจุดชมวิวแห่งนี้ก็คือการรวมกันระหว่างน้ำ ต้นไม้ และภูเขา จนเป็นวิวที่ทุกคนหลงรัก โดยเฉพาะในช่วงใบไม้เปลี่ยนสี บอกเลยว่าสวยอย่าบอกใคร
บึงทาชิโระ (Tashiro Pond)

ไฮไลท์ถัดมาก็คือบึงทาชิโระ หรือ Tashiro Pond สำหรับบึงนี้จะเป็นบึงเล็กๆ ที่มีขนาดไม่ใหญ่มาก แต่มีจุดเด่นตรงที่น้ำที่ใสสะอาดจนเห็นพื้น และต้นไม้นานาพรรณที่อยู่รอบข้าง ถ้าเป็นในฤดูร้อน ต้นไม้สีเขียวชอุ่มจะตัดน้ำที่ใสราวกับกระจก หรือหากเป็นฤดูใบไม้เปลี่ยนสี ต้นไม้สีส้มและเงาที่สะท้อนอยู่ในบึงก็ทำให้เป็นวิวทิวทัศน์ที่สะกดทุกสายตาคนมอง
สะพานกัปปะ (Kappabashi)

สำหรับสะพานกัปปะ (Kappabashi) แห่งนี้ เรียกได้ว่าเป็นไฮไลท์ของทริปนี้เลยทีเดียว เพราะสะพานแขวนที่ทำจากไม้ ความยาว 36 เมตรแห่งนี้ เป็นจุดที่เรียกได้ว่ารวมความประทับใจทุกอย่างในคามิโคจิไว้ในที่เดียว ไม่ว่าจะเป็นแม่น้ำอาซุสะที่ใสกระจ่างจนเห็นพื้นที่ไหลรินอยู่ด้านล่าง ต้นไม้ที่เขียวชอุ่มในฤดูร้อนและเปลี่ยนเป็นสีเหลืองส้มในฤดูใบไม้ผลิ และที่สำคัญที่สุด ก็คือภูเขาโฮตะกะที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงกลางพอดี ทำให้ที่นี่เป็นไฮไลท์ที่หลายคนรอมาถ่ายรูปกัน
นอกจากวิวสุดสวยแล้ว ความพิเศษของบริเวณนี้คือที่นี่เป็นทั้งจุดบริการนักท่องเที่ยว ร้านอาหาร จุดจำหน่ายของที่ระลึก และเป็นทางไปยังสถานีรถบัสอีกด้วย ที่นี่จึงเป็นจุดพักสำหรับนักท่องเที่ยวที่เดินมาเหนื่อยๆ ชิมกาแฟซื้อของฝากท่ามกลางวิวระดับพันล้านแบบนี้ บอกเลยว่าที่ไหนก็หาไม่ได้
บึงเมียวจิน (Myojin Pond)

และสำหรับใครที่ยังไม่เหนื่อยและสามารถเดินต่อไปได้อีกหน่อย เราก็แนะนำให้เดินต่อไปอีกเพื่อให้ถึงบึงเมียวจิน (Myojin Pond) ไฮไลท์อย่างสุดท้ายที่เราอยากแนะนำกันในครั้งนี้ สำหรับบึงเมียวจินแห่งนี้ เป็นบึงที่ตั้งอยู่ในเขตของศาลเจ้าโฮตะกะ และเป็นที่จัดพิธีกรรมแล่นเรืออันมีชื่อเสียงเป็นประจำทุกปี เนื่องจากที่นี่ค่อนข้างอยู่ห่างจากจุดท่องเที่ยวหลัก ความพิเศษของที่นี่จึงเป็นความเงียบสงบอยู่กับธรรมชาติ เคียงคู่กับวิวบึงน้ำขนาดใหญ่ที่ใสแจ๋วสะท้อนวิวทิวทัศน์ของผืนป่าราวกับกระจก และถ้าคุณเดินมาจนสุดทางซึ่งเป็นปลายท่าที่ยื่นเข้าไปในบึง คุณก็จะพบกับระฆังและกล่องสำหรับบริจาคของศาลเจ้าวางไว้ ให้เราสามารถทำบุญและบูชาเทพเจ้าตรงนี้ได้ เป็นการจบทริปการเดินทางที่น่าประทับใจ
การเดินทางไป คามิโคจิ
สำหรับการเดินทางมาเที่ยวที่นี่เราสามารถเดินทางได้สองเส้นทาง อันดับแรกก็คือการเดินทางด้วยรถบัสของ Alpico ที่จะขับตรงเข้ามาที่คามิโคจิเลยทันที โดยสามารถนั่งจากเมืองใหญ่ต่างๆ ได้ตามรายละเอียดและระยะเวลาด้านล่างนี้
โตเกียว (5-7 ชม.)
โอซาก้า / เกียวโต (6-7 ชม.)
นากาโนะ (2.5 ชม.)
ซึ่งรายละเอียด รอบรถ ราคาต่างๆ สามารถดูได้ทางเว็บของรถบัสตามนี้เลย https://visit-nagano.alpico.co.jp/timetable/kamikochi
หรือสำหรับคนที่ต้องการเดินทางมาด้วยรถไฟ คุณสามารถนั่งรถไฟชินคันเซ็นมาลงที่นางาโนะ จากนั้นต่อรถไฟอีกนิดเพื่อไปลงที่สถานี Shinshimashima Bus Terminal ซึ่งจากที่นี่จะเป็นการนั่งรถบัสต่อเพื่อเที่ยวชมในอุทยาน
และในส่วนทางขากลับ เราก็สามารถนั่งรถจากป้ายรถบัสที่สะพานกัปปะเพื่อย้อนกลับทางเดิมได้เลย สาเหตุที่ต้องเดินทางหลายต่อ เพราะคามิโคจิเป็นอุทยานแห่งชาติที่ห้ามรถยนต์ส่วนตัวเข้าเด็ดขาดเพื่อรักษาธรรมชาติให้สวยงามต่อไป แม้การเดินทางอาจจะเหนื่อยเพราะต้องนั่งรถหลายต่อหรือเดินทางนาน แต่มั่นใจว่าจะคุ้มค่าเหนื่อยอย่างแน่นอน