ญี่ปุ่น (Japan)

60 เรื่องที่ควรรู้ก่อนไป เที่ยวญี่ปุ่น ครั้งแรกเตรียมตัวได้อย่างเป๊ะก่อนบิน

เตรียมให้พร้อมก่อนไป เที่ยวญี่ปุ่น ครั้งแรก กับ 60 เรื่องที่ควรรู้ ไม่ใช่แค่เรื่องการเตรียมเอกสาร หรือเส้นทางการเดินทางเท่านั้น แต่ยังรวมถึงมารยาทพื้นฐานที่คนญี่ปุ่นให้ความสำคัญ เช่น ห้ามแซงคิว ห้ามยืนขวางบันไดเลื่อน ไม่ควรคุยเสียงดังในที่สาธารณะ และควรแยกขยะให้ถูกประเภท เพื่อไม่ให้เผลอทำพฤติกรรมที่อาจถูกมองว่าไม่สุภาพโดยไม่รู้ตัว นอกจากนี้ยังมีข้อควรรู้เกี่ยวกับการรับประทานอาหารที่นักท่องเที่ยวหลายคนอาจมองข้าม เช่น ห้ามปักตะเกียบลงในชามข้าว ห้ามส่งอาหารจากตะเกียบสู่ตะเกียบ และไม่ควรใช้มือรับอาหารจากผู้อื่น พร้อมเคล็ดลับเล็ก ๆ ที่ช่วยให้การ เที่ยวญี่ปุ่น ของคุณราบรื่น สนุก และน่าประทับใจยิ่งขึ้น เตรียมตัวให้พร้อม แล้วไปสัมผัสเสน่ห์ของญี่ปุ่นกันเลย!

60 เรื่องที่ควรรู้ก่อนไป เที่ยวญี่ปุ่น ครั้งแรกเตรียมตัวได้อย่างเป๊ะก่อนบิน

1. ต้องพกพาสปอร์ตติดตัวไว้ตลอด

Passport

หลายคนเข้าใจว่า “พาสปอร์ต” ใช้แค่ตอนขึ้นเครื่องกับผ่าน ตม. เท่านั้น แต่จริงๆ แล้วตลอดระยะเวลาที่เราท่องเที่ยวอยู่ต่างประเทศจะต้องพกไว้ตลอดทำไมถึงจะต้องพกพาสปอร์ตติดตัวไว้ตลอด

1. ใช้เป็นหลักฐานแสดงตัวตน และสถานะการเข้าเมือง รวมถึงบางสถานที่อาจมีการเรียกตรวจสอบเอกสาร
2. เช็กอินที่โรงแรมที่พัก
3. ใช้ยืนยันตัวตนในการใช้สิทธิ์นักท่องเที่ยวเพื่อขอคืนภาษี (Tax Free)
4. ติดต่อสถานทูตหากเกิดเหตุฉุกเฉิน
5. เจ้าหน้าที่ตำรวจอาจสุ่มตรวจ ถ้าหากไม่มีพาสปอร์ต อาจถูกควบคุมตัวชั่วคราว หรือโดนปรับได้
6. ถ้าต้องขึ้นเครื่องบินไฟลต์ภายในประเทศ หรือมีการเปลี่ยนกระทันหัน พาสปอร์ตจะเป็นเอกสารจำเป็นทันที

Tip: แนะนำให้ถ่ายสำเนา หรือเก็บรูปไว้ในมือถือด้วย เผื่อกรณีฉุกเฉิน และเก็บตัวจริงในที่ปลอดภัย

2. เที่ยวญี่ปุ่น จะต้องพกบัตรอะไรบ้าง?

1. บัตรโดยสารแบบเติมเงิน (IC Card) – เช่น Suica, Pasmo และ ICOCA สามารถใช้ได้กับรถไฟ รถบัส และร้านค้าต่างๆ รวมถึงสามารถแตะซื้อสินค้าที่ร้านสะดวกซื้อ ตู้กดน้ำ และอื่นๆ ได้อีกด้วย สามารถเติมเงินเข้าบัตรได้ที่เครื่องจำหน่ายตั๋ว ประหยัดเวลาไม่ต้องไปเสียเวลาซื้อตั๋วใหม่ทุกครั้ง เหมือน Rabbit card ของบ้านเรานั่นเอง โดยแต่ละภูมิภาคจะจำหน่ายบัตรที่ต่างกัน แต่สามารถใช้ได้เหมือนกันทั่วประเทศ เช่น บัตร Suica และ Pasmo จะหาซื้อได้ในโตเกียว, บัตร ICOCA หาซื้อได้ในโอซาก้าและภูมิภาคคันไซ เป็นต้น
Tip: เราสามารถซื้อบัตร IC ได้ที่สนามบิน สถานีรถไฟหลัก และร้านสะดวกซื้อ แนะนำให้ควรซื้อบัตรตั้งแต่ถึงสนามบิน (สามารถเลือกลายที่ชอบได้ด้วย) เพื่อความสะดวก สามารถใช้ได้ทันทีหลังซื้อ
2. Travel Card – บัตรเดบิต หรือบัตรเติมเงิน (Prepaid Card) ที่ออกแบบมาเพื่อใช้จ่ายในต่างประเทศโดยเฉพาะ ช่วยให้สามารถแลกเปลี่ยนสกุลเงินเก็บไว้ล่วงหน้าด้วยอัตราแลกเปลี่ยนที่ดีกว่า สามารถรูดใช้จ่าย หรือถอนเงินจาก ATM ได้ทั่วโลก โดยไม่ต้องพกเงินสดจำนวนมาก เช่น บัตร SCB Planet, Youtrip (Kbank) หรือ Krungthai travel เป็นต้น
3. JR Pass / Regional Pass – เป็นบัตรโดยสารรถไฟที่ออกโดย Japan Railways Group (JR Group) ซึ่งช่วยให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางภายในญี่ปุ่นได้อย่างสะดวกและประหยัดมากขึ้น โดยเฉพาะหากต้องเดินทางหลายเมืองหรือระยะทางไกล ใช้ขึ้นรถไฟ ชินคันเซ็น (ยกเว้นบางขบวน) รถไฟด่วน รถไฟท้องถิ่น และรถบัส/เรือบางสายของ JR ได้ไม่จำกัดเที่ยว มีให้เลือกแบบ 7, 14 หรือ 21 วัน แบบทั่วประเทศ (JR Pass) หรือเฉพาะภูมิภาค (Regional Pass) ซึ่งจะคุ้มมากสำหรับคนที่เดินทางหลายเมือง เช่น โตเกียว → โอซาก้า → เกียวโต → ฮอกไกโด

การพกบัตรต่างๆ ที่จำเป็นจะช่วยให้เราสามารถท่องเที่ยวได้อย่างสนุกและราบรื่น ไม่ต้องไปเสียเวลาต่อคิวซื้อตั๋ว ไม่ต้องพกเงินสดเยอะเพื่อเสี่ยงอันตราย รวมไปถึงถ้าหากเรามีการวางแผนที่ดีจะช่วยให้เราสามารถประหยัดค่าเดินทางได้อีกด้วย

Tip: ถึงแม้ว่าจะมีขายในประเทศญี่ปุ่น แต่แนะนำให้หาซื้อจากนอกประเทศก่อนเดินทาง เช่น Klook หรือซื้อผ่านเอเจนซี่จะดีกว่า เพราะส่วนใหญ่จะได้ราคาที่ถูกกว่า

3. App ที่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ใช้เวลาไปญี่ปุ่น

หลายคนกังวลว่าไปเที่ยวญี่ปุ่นแบบไม่รู้ภาษาญี่ปุ่น และคนญี่ปุ่นก็ไม่ค่อยพูดภาษาอังกฤษ การไปเที่ยวจะสามารถเอาตัวรอดมั้ย? และนี่คือแอปยอดนิยมที่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่มักจะดาวน์โหลดเพื่อช่วยให้การเดินทางสะดวก ประหยัดเวลา และง่ายยิ่งขึ้น

1. Google Maps – ใช้เพื่อนำทาง + หาสถานที่ + เช็กเส้นทางรถไฟ/บัส พร้อมบอกเวลารถออกแบบ Real-time
2. Google Translate – คนญี่ปุ่นบางคนไม่ถนัดภาษาอังกฤษ และไม่ค่อยพูดภาษาอังกฤษ รวมถึงป้าย/เมนูหลายอย่างมีแค่ภาษาญี่ปุ่น จำเป็นจะต้องแปลเป็นภาษาญี่ปุ่นเพื่อใช้ในการสื่อสาร หรือแปลภาษาด้วยกล้อง (Google Lens) ได้ทันทีจากป้าย เมนู หรือภาพ เพื่อดูรายละเอียดได้ทันทีสะดวกมากๆ
3. NAVITIME Japan Travel – เป็นแอปสำหรับข้อมูลการเดินทางในญี่ปุ่นโดยเฉพาะ ใช้ดูตารางเวลารถไฟท้องถิ่น + Shinkansen แบบแม่นยำ รวมไปถึงมีข้อมูล Pass ต่างๆ เช่น JR Pass, Tokyo Subway Pass และสามารถดูได้ว่า Pass ที่เรามีใช้กับขบวนไหนได้บ้าง
4. Klook – ใช้จองบัตรเข้าชม ตั๋วรถไฟ ซิมเน็ต และทัวร์ ล่วงหน้า เช่น ซื้อบัตรเข้าสถานที่ท่องเที่ยวล่วงหน้า เช่น Universal Studios, Tokyo Disneyland, TeamLab และสามารถจอง Pocket Wi-Fi, eSIM, JR Pass ได้ราคาถูกกว่าซื้อหน้างาน

Tip: การจองผ่าน Klook จะมีส่วนลดราคาพิเศษ

4. สัมภาระเยอะจะเดินทางสะดวกมั้ย?

สำหรับคนที่มีสัมภาระเยอะ เช่น กระเป๋าเดินทางใบใหญ่ มีรถเข็นเด็ก หรือพาผู้สูงอายุเดินทางมาด้วย หลายคนมักจะกังวลว่าที่ญี่ปุ่นว่าจะเดินทางสะดวกมั้ย? คำตอบคือ ไม่ต้องกังวล เพราะสถานีรถไฟในญี่ปุ่นส่วนใหญ่จะมี ลิฟต์ ทางลาด บันไดเลื่อนให้บริการอย่างทั่วถึงทุกจุด แต่ก็อาจจะมีบางสถานีรถไฟไม่มีลิฟต์ และบันไดเลื่อนถ้าแบกกระเป๋าหนักจะลำบากได้

Tip: สามารถใช้ Google Maps เพื่อดูว่าทางไหนมีลิฟต์

5. เวลาขึ้นบันไดเลื่อนจะต้องยืนชิดฝั่งไหน?

เที่ยวญี่ปุ่น

หนึ่งในพฤติกรรมที่นักท่องเที่ยวมักพลาดโดยไม่รู้ตัว เมื่อมาเยือนญี่ปุ่น ก็คือ “การยืนผิดฝั่งบนบันไดเลื่อน” หรือ “ยืนขวางทาง” คนญี่ปุ่นขึ้นชื่อเรื่องความเร่งรีบ ดังนั้นการขวางทางบนบันไดเลื่อนจึงถือเป็นเรื่องเสียมารยาทเป็นอย่างมาก แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าควรยืนฝั่งไหน แถมแต่ละเมืองก็จะมีการยืนชิดซ้ายและยืนชิดขวาที่ไม่เหมือนกันอีก เช่น โตเกียวยืนชิดซ้าย โอซาก้ายืนชิดขวา แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าควรยืนฝั่งไหน? แก้ไขเฉพาะหน้าด้วยการสังเกตจากคนข้างหน้าง่ายสุด ว่าเขาพากันยืนฝั่งไหน

6. รถไฟญี่ปุ่นมาตรงเวลาเป๊ะ

ตารางการเดินรถของญี่ปุ่นค่อนข้างจะตรงเวลา จริงๆ เรียกว่า ตรงเลยก็ได้ ไม่ต้องกังวลว่าจะมาเมื่อไหร่? หรือว่าจะมาตอนไหน? แต่ละสถานีจะมีป้ายบอกเวลา เข้า และ ออก แบบเป๊ะๆ อย่าชะล่าใจ ควรมารอหรือเตรียมตัวให้พร้อมก่อนเวลาสักประมาณ 5-10 นาที เพื่อไม่ให้ตกขบวน ไม่งั้นอาจจะเสียเวลาได้

7. ศึกษาระบบขนส่ง (รถไฟ JR / Subway)

การศึกษาระบบขนส่งของญี่ปุ่น เช่น รถไฟ JR (Japan Railways), Subway (รถไฟใต้ดิน) และระบบขนส่งอื่น ๆ ก่อนเดินทางไปญี่ปุ่น มีความสำคัญมาก ญี่ปุ่นมีระบบขนส่งที่ซับซ้อนมาก ที่ญี่ปุ่นมีหลายบริษัทให้บริการระบบขนส่ง ไม่ได้มีแค่เจ้าเดียว แต่ละบริษัทมี เส้นทางของตัวเอง แยกกันชัดเจน และใช้ ตั๋วคนละแบบ ทำให้ถ้าไม่เข้าใจระบบ จะงงหรือเสียเงินเกินความจำเป็น

ทำไมถึงจะต้องศึกษาระบบขนส่งของญี่ปุ่น?
1. เพื่อให้สามารถวางแผนเที่ยวและเดินทางได้แม่นยำ และสะดวก
2. ประหยัดเงินได้มาก กรณีที่ใช้งานบ่อยหรือเดินทางไกล การซื้อ JR Pass หรือบัตรประเภทต่าง ๆ (เช่น Tokyo Subway Pass, Kansai Thru Pass) จะคุ้มค่ามาก
3. ลดโอกาสพลาดหรือลงสถานีผิด ถ้าไม่ศึกษาระบบให้ดี มีโอกาสลงผิดสาย หรือไปคนละทิศทางได้ง่ายมาก
4. ช่วยประหยัดเวลาในการเดินทาง

8. การเดินทางโดยรถไฟ ต้องเลือกแบบไหน?

ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีระบบขนส่งสาธารณะที่มีความสะดวกสบายและมีประสิทธิภาพสูง ไม่ว่าจะเป็นรถบัส แท็กซี่ จักรยาน หรือที่สำคัญที่สุดคือรถไฟ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในระบบขนส่งที่ดีที่สุดในโลก ด้วยการเชื่อมโยงครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วประเทศ แต่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ก็มักจะเดินทางด้วยรถไฟกัน ซึ่งระบบรถไฟญี่ปุ่นมีหลายแบบ แต่ละแบบก็จะให้บริการแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับแผนการใช้งานของแต่ละคน

1. ชินคันเซ็น (Shinkansen) – รถไฟความเร็วสูงที่เชื่อมโยงระหว่างเมืองหลัก ๆ เช่น โตเกียว โอซาก้า และฟุกุโอกะ เป็นตัวเลือกที่ให้ความสะดวกและรวดเร็วที่สุด เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการเดินทางระยะไกลในเวลาอันสั้น
2. รถไฟด่วนพิเศษ (Limited Express) – รถไฟที่วิ่งระหว่างเมืองสำคัญ ๆ และจะจอดเฉพาะบางสถานี แต่ช้ากว่าชินคันเซ็น
3. รถไฟด่วน (Rapid Train) – รถไฟด่วนจะจอดเฉพาะสถานีหลักๆ เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการเดินทางไปยังจุดหมายที่เฉพาะเจาะจง
4. รถไฟท้องถิ่น (Local Train) – เป็น รถไฟแบบธรรมดาทั่วไป จะจอดทุกสถานีในเส้นทาง ราคาถูกประหยัดค่าเดินทางกว่ารถไฟด่วนหรือชินคันเซ็น เหมาะสำหรับคนที่มีแพลนเที่ยวชมเมืองหรือสถานีต่าง ๆ รอบ ๆ เมือง

บัตรโดยสาร
1. ตั๋วเดี่ยว (Single Ticket) – ซื้อสำหรับการเดินทางครั้งเดียว ราคาขึ้นอยู่กับระยะทาง
2. ตั๋วรายวัน (Day Pass) – เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเดินทางในวันเดียวหลายครั้ง เช่น Tokyo Metro Pass หรือ Osaka Amazing Pass
3. Japan Rail Pass (JR Pass) – บัตรโดยสารสำหรับเดินทางบนเครือข่ายรถไฟ JR รวมถึงชินคันเซ็นแบบไม่จำกัด คุ้มค่าเหมาะสำหรับการเดินทางระยะไกล

9. รถไฟญี่ปุ่นไม่ได้มีเพียงแค่ JR

รถไฟในประเทศญี่ปุ่น ไม่ได้มีแค่ JR (Japan Railways) แต่เป็นระบบที่มีทั้งของรัฐบาล และเอกชนหลากหลายเจ้า บางทีสถานีเดียวกัน แต่รถไฟคนละบริษัทก็ใช้ตั๋วร่วมกันไม่ได้

ประเภทบริษัทรถไฟในญี่ปุ่นที่เจอบ่อย
1. JR (Japan Railways) ใหญ่สุด ครอบคลุมทั่วประเทศ ใช้ได้กับบัตร JR Pass, JR Regional Pass มีหลายสาย เช่น JR Yamanote (โตเกียว) JR Nara และ JR Kyoto
2. รถไฟเอกชน (Private Railways) เช่น Keio, Odakyu, Keisei (โตเกียว) Hankyu, Hanshin, Keihan, Kintetsu (คันไซ) ซึ่งจะใช้ JR Pass ไม่ได้ ราคาถูก-แพง ขึ้นอยู่กับเส้นทางและระยะทาง
3. รถไฟใต้ดิน (Subway) มีทั้งของ Tokyo Metro, Toei Subway, Osaka Metro ครอบคลุมในเมือง แต่ไม่ไกลเท่า JR
4. รถราง (Tram) และรถโมโนเรล (Monorail) เช่น Hiroshima Electric Railway, Tokyo Monora ราคาจะต่างจาก JR เล็กน้อย

Tip: ใช้ บัตร Suica / ICOCA / Pasmo ได้กับรถไฟเกือบทุกประเภท จ่ายตามระยะ ไม่ต้องซื้อตั๋วทุกเที่ยว สะดวกมาก

10. รู้กฎการขึ้นรถไฟที่ญี่ปุ่น

การขึ้นรถไฟที่ญี่ปุ่นมีระเบียบ และมารยาทที่ค่อนข้างเคร่งครัด และคนญี่ปุ่นส่วนใหญ่ปฏิบัติตามอย่างจริงจัง เพื่อให้ระบบรถไฟที่มีความแม่นยำสูงดำเนินไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ก่อนขึ้นรถไฟ
1. ต่อแถวรอขึ้นรถไฟ ที่ชานชาลาจะมีเครื่องหมายบอกจุดรอขึ้นรถไฟ ควรยืนรอตามลำดับ ห้ามแซงคิวเด็ดขาด
2. ปล่อยให้คนลงก่อน เมื่อรถไฟมาถึง ให้รอให้คนภายในออกมาก่อนค่อยขึ้น
3. ห้ามสูบบุหรี่ ห้ามสูบบุหรี่ทั่วทั้งสถานีและชานชาลา (ยกเว้นจุดที่กำหนด ซึ่งมีน้อยมาก)

ขณะอยู่บนรถไฟ
1. ห้ามใช้เสียงโทรศัพท์ ห้ามรับสายหรือพูดโทรศัพท์เสียงดัง หากต้องใช้ให้ตั้งเป็นโหมดเงียบ และพิมพ์ข้อความแทน
2. พูดคุยเบาๆ หลีกเลี่ยงการพูดคุยเสียงดัง โดยเฉพาะในรถไฟสายด่วน เช่น Shinkansen
3. ห้ามกินอาหารในรถไฟท้องถิ่น รถไฟท้องถิ่นหรือรถไฟใต้ดิน ไม่ควรกินอาหาร (แต่ดื่มน้ำได้)
4. วางกระเป๋าให้เรียบร้อย ไม่วางกระเป๋าบนเบาะข้างๆ หรือกลางทางเดิน
5. ที่นั่งสำหรับผู้สูงอายุ ผู้พิการ และ หญิงมีครรภ์ มีที่นั่งเฉพาะไม่ควรนั่งหากไม่ได้มีความจำเป็น

11. เงินสดหมดหรือไม่พอใช้ต้องทำอย่างไร?

หลายคนมักจะกังวลว่า “ต้องแลกเงินไปเท่าไหร่?” หรือ “เงินสดจะพอไหม?” จริงๆ แล้วที่ญี่ปุ่นส่วนใหญ่สามารถใช้บัตรเครดิตหรือเดบิตได้ แต่ก็ยังมีบางร้านที่รับเฉพาะเงินสด แต่ไม่ต้องห่วงถ้าหากเงินสดที่แลกไปไม่พอใช้ หรือว่าใช้จนหมด ที่ญี่ปุ่นมีตู้ ATM สามารถกดเงินสดได้ (แถมบางตู้มีภาษาไทยรองรับอีกด้วย)

จุดที่มีตู้ ATM ภาษาไทย
1. Seven Bank
– เป็นตู้ ATM ของร้าน 7-Eleven รองรับภาษาไทยเต็มระบบ (ทั้งเมนูและคำแนะนำ) ใช้บัตรเดบิต/เครดิตของไทยได้หลายธนาคาร
2. Japan Post Bank – เป็นตู้ ATM ในไปรษณีย์ญี่ปุ่น มีภาษาอังกฤษชัดเจน และบางตู้มีภาษาไทย รองรับการถอนเงินสดด้วยบัตรต่างประเทศ
3. Lawson / FamilyMart บางสาขา – มีตู้ ATM ของแบรนด์ Lawson Bank หรือ E-net (บางตู้มีภาษาไทยรองรับ)

12. มารยาทในการต่อคิว

คนญี่ปุ่นจริงจังกับการต่อแถวมาก ไม่ว่าจะเป็นสถานีรถไฟ ร้านอาหาร ห้องน้ำสาธารณะ หรือแม้แต่ร้านสะดวกซื้อ สิ่งที่ไม่ควรทำคือ ห้ามแซงคิวเด็ดขาด เพราะคนญี่ปุ่นเคร่งครัดเรื่องการเข้าแถวเป็นอย่างมาก ห้ามยืดชิดคนข้างหน้ามากเกินไป รวมไปถึงการ เร่ง หรือมองจ้องคนที่อยู่หน้าคิว ทุกคนจะยืนต่อแถวอย่างเป็นระเบียบโดยไม่ต้องมีเจ้าหน้าที่มาคอยจัด หากคุณฝ่าคิวหรือแซงคนอื่นโดยไม่ได้ตั้งใจ อาจถูกมองว่าไร้มารยาททันที จึงควรสังเกตและปฏิบัติตามมารยาทสังคมนี้อย่างเคร่งครัด

สถานีรถไฟ – ยืนเรียงเดี่ยวตามเส้นบนพื้น (มีสัญลักษณ์บอก) ไม่เบียด และไม่ขวางประตู
ร้านอาหาร – เรียงตามคิว ไม่ยืนบังหน้าร้าน หรือขวางทางเข้า-ออกประตู
ห้องน้ำสาธารณะ – ยืนรอแบบเว้นระยะห่าง ไม่เร่ง ไม่เคาะ ไม่ตะโกน ไม่มองคนที่ยังไม่ออก
ร้านสะดวกซื้อ (7-11 / FamilyMart / Lawson) – ยืนเข้าคิวตามสัญลักษณ์บนพื้นที่ที่จัดให้ยืน ไม่เดินแทรกไปที่หน้าเคาน์เตอร์ รอพนักงานเรียกค่อยเดินเข้าไปจ่ายเงิน

13. อย่าส่งเสียงดังในที่สาธารณะ

ในประเทศญี่ปุ่น การรักษาความเงียบในที่สาธารณะถือเป็นมารยาทสำคัญที่คนญี่ปุ่นให้ความสำคัญอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นในร้านอาหาร, บนรถไฟ หรือในพื้นที่สาธารณะต่างๆ การพูดคุยเสียงดัง หรือใช้โทรศัพท์เสียงดังจะถูกมองว่าไม่เหมาะสมและรบกวนผู้อื่น การรักษาความเงียบสงบไม่เพียงแต่เป็นการแสดงความเคารพต่อผู้คนรอบข้าง แต่ยังช่วยให้บรรยากาศในที่สาธารณะน่าอยู่และมีความสงบเรียบร้อยมากขึ้น

14. น้ำก๊อกที่ญี่ปุ่น สามารถดื่มได้

น้ำก๊อกที่ญี่ปุ่นสามารถดื่มได้ไหม? เป็นคำถามที่มักจะเจออยู่บ่อยๆ และบางคนก็ไม่เชื่อ น้ำก๊อกที่ญี่ปุ่นโดยทั่วไปปลอดภัย สามารถดื่มได้โดยตรง เนื่องจากระบบการกรอง และควบคุมคุณภาพน้ำที่ได้มาตรฐานสูง อย่างไรก็ตาม รสชาติอาจแตกต่างกันตามแต่ละสถานที่ ระบบสาธารณูปโภคของญี่ปุ่นมีการจัดการที่ดี มีการกรองและฆ่าเชื้อ ทำให้มั่นใจในคุณภาพและความปลอดภัย

Tip: หลีกเลี่ยงการดื่มน้ำจากก๊อกในห้องน้ำสาธารณะเก่าๆ และถ้าหากดื่มแล้วรสชาติไม่ถูกปากไม่จำเป็นจะต้องฝืนดื่มต่อ

15. ควรพกกระดาษทิชชู่ หรือทิชชู่เปียกไว้ด้วย

แม้ว่าห้องน้ำในญี่ปุ่นจะสะอาดมาก แต่บางแห่ง เช่น สถานีรถไฟเล็กๆ ห้องน้ำริมถนน จุดท่องเที่ยวท้องถิ่น หรือห้องน้ำสาธารณะ อาจไม่มีทิชชู่ให้บริการ โดยเฉพาะแบบฟรี การพกกระดาษทิชชู่แห้ง และทิชชู่เปียกติดตัวไว้จึงเป็นเรื่องที่ควรทำ นอกจากใช้ในห้องน้ำแล้วยังใช้เช็ดมือหรือทำความสะอาดเบื้องต้นได้ทุกสถานการณ์ ไม่ลำบากเวลาเดินทาง

16. ห้องน้ำญี่ปุ่นไม่มีสายฉีด

ห้องน้ำญี่ปุ่นส่วนใหญ่จะไม่มีสายฉีดแยก จะมีเพียงโถชักโครกระบบอัตโนมัติ (Washlet) ที่มาพร้อมกับปุ่มควบคุมฉีดน้ำที่อยู่ข้างโถ แต่ถ้าหากใครไม่สะดวกก็สามารถใช้ กระดาษทิชชู่แห้ง หรือทิชชู่เปียกได้เหมือนกัน

วิธีใช้งานทำอย่างไร?
1. 止
: ปุ่มสำหรับ หยุดฉีดน้ำ
2. おしり: ปุ่มสำหรับ ฉีดน้ำล้างก้น ใช้ได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิง
3. ビデ : ปุ่มสำหรับฉีด บริเวณจุดซ่อนเร้น มักใช้สำหรับผู้หญิง
4. リズム : ปุ่มสำหรับเปลี่ยนจังหวะการพ่นน้ำ (แรง-เบา สลับกัน)
5. 強 : ปรับแรงดันน้ำ แรง
6. 弱 : ปรับแรงดันน้ำ เบา

17. ห้องน้ำญี่ปุ่นสามารถทิ้งกระดาษทิชชู่ได้เลย

ห้องน้ำในญี่ปุ่น สามารถทิ้งกระดาษทิชชู่ลงชักโครกได้ โดยทั่วไปแล้วกระดาษชำระที่ใช้ในห้องน้ำญี่ปุ่นจะเป็นชนิด ละลายน้ำง่าย (flushable) ซึ่งออกแบบมาให้สามารถย่อยสลายในระบบน้ำเสียได้โดยไม่อุดตันท่อ แต่ต้องเป็นกระดาษทิชชู่ที่ถูกเตรียมเอาไว้ในห้องน้ำ

ทำไมถึงทิ้งได้?
1. กระดาษทิชชู่ของญี่ปุ่นผลิตแบบพิเศษ ย่อยสลายเร็วในน้ำ ละลายง่าย ไม่อุดตัน
2. ระบบท่อน้ำญี่ปุ่นถูกออกแบบมาให้รองรับได้ ถ้าหากทิ้งลงถังขยะจะ “ไม่ถูกสุขลักษณะ” และ “ไม่เป็นมารยาท”

ข้อควรระวัง
1. ห้ามทิ้ง กระดาษเช็ดหน้า ทิชชู่เปียก หรือทิชชู่แบบหนา ลงชักโครกเด็ดขาด เพราะไม่ใช่กระดาษที่ย่อยสลายในน้ำได้เร็ว อาจทำให้ท่ออุดตัน
2. ถ้าไม่แน่ใจ ให้ดูป้ายข้างผนังห้องน้ำ มักจะมีสัญลักษณ์หรือคำว่า Please flush toilet paper / 紙は便器に流してください แปลว่า กรุณาทิ้งกระดาษชำระลงชักโครก
3. ห้องน้ำบางแห่ง (โดยเฉพาะในต่างจังหวัด หรือห้องน้ำสาธารณะเก่า) อาจมีป้ายติดว่า “ห้ามทิ้งกระดาษลงชักโครก”

Tip: ถ้ามีถังขยะข้างโถส้วม อาจเป็นสัญญาณว่าไม่ควรทิ้งกระดาษลงชักโครก แต่ส่วนใหญ่ทิ้งได้ เพราะระบบท่อในญี่ปุ่นดีและกระดาษชำระออกแบบมาสำหรับชักโครก แต่ก็ควรอ่านป้ายคำแนะนำในห้องน้ำแต่ละแห่งก่อนใช้งาน

18. สามารถเข้าห้องน้ำที่ไหนได้บ้าง?

เมื่อคุณเดินทางไปเที่ยวญี่ปุ่นแล้วเกิดความจำเป็นที่จะต้องใช้ห้องน้ำ หรือเป็นคนที่จะต้องใช้ห้องน้ำบ่อยๆ ถ้าหากได้มาเที่ยวญี่ปุ่นไม่ต้องเป็นห่วง ห้องน้ำที่ญี่ปุ่น ค่อนข้างหาง่าย คุณจะพบว่ามีตัวเลือกมากมายที่สะดวกและสะอาดให้เลือกใช้ โดยส่วนใหญ่ห้องน้ำในญี่ปุ่นจะมีความสะอาดและมีกระบวนการดูแลรักษาที่ดีเยี่ยม ซึ่งเป็นหนึ่งในจุดเด่นที่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ชื่นชอบ

แล้วห้องน้ำอยู่ที่ไหนบ้าง?
1. สถานีรถไฟ – ในสถานีรถไฟในญี่ปุ่น เช่น สถานีโตเกียว ชินจูกุ คันโต หรือโอซาก้า จะมีห้องน้ำที่สะอาดและพร้อมใช้งานแทบทุกแห่ง
2. ร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven FamilyMart และ Lawson หรือ “คนบินิ” (コンビニ / Konbini)
3. ห้างสรรพสินค้าและห้างร้าน (Department Stores and Malls)
4. ร้านอาหาร

5. ห้องน้ำสาธารณะ

19. ถังขยะที่ญี่ปุ่นหายากมาก ควรพกถุงขยะส่วนตัว

สำหรับคนที่ไปญี่ปุ่นครั้งแรก อาจจะงงว่าทำไมถังขยะถึงหายากมาก แต่ที่สำคัญคือ บนพื้นหรือไม่ว่าจะเป็นสถานที่ไหนๆ ก็แทบจะไม่มีขยะบนพื้นเลย สาเหตุที่ญี่ปุ่นมีถังขยะน้อย เพราะเรื่องความปลอดภัย และส่งเสริมวัฒนธรรมความรับผิดชอบส่วนตัว รวมถึงระบบแยกขยะที่เข้มงวด ทำให้ญี่ปุ่นเลือกที่จะไม่มีถังขยะสาธารณะทั่วไป เพื่อส่งเสริมให้คนเก็บขยะของตัวเองกลับไปทิ้งอย่างถูกวิธี หากซื้อของกินแล้วควรรีบกินให้เสร็จ แล้วทิ้งลงถังขยะที่ทางร้านจัดไว้ให้ (ไม่ควรเดินไป กินอาหารไปในญี่ปุ่น)

ถังขยะที่ญี่ปุ่นทำไมถึงมีน้อย?
1. เหตุผลด้านความปลอดภัย (โดยเฉพาะหลังเหตุการณ์ก่อการร้าย) เหตุการณ์วางระเบิดในรถไฟใต้ดินโตเกียว ปี 1995 (เหตุการณ์แก๊สซารินโดยลัทธิโอมชินริเคียว) ทางการญี่ปุ่นได้ลดจำนวนถังขยะในที่สาธารณะลงอย่างมาก โดยเฉพาะถังขยะที่ทึบหรือมีฝาปิด เพื่อป้องกันการนำสิ่งอันตรายมาซ่อนไว้
2. การส่งเสริมให้แต่ละคน “รับผิดชอบขยะของตัวเอง”
3. สถานที่ทิ้งขยะที่ชัดเจน เช่น ร้านสะดวกซื้อ สถานีรถไฟ
4. ปลูกฝังพฤติกรรม “ไม่สร้างขยะโดยไม่จำเป็น”

Tip: ถ้าไปเที่ยวญี่ปุ่น แนะนำให้พกถุงเล็กไว้ใส่ขยะส่วนตัว จะได้ไม่ลำบากเวลาอยากทิ้งอะไรกลางทาง

20. หากเจอถังขยะ อย่าลืมแยกขยะให้ถูกประเภท

การแยกขยะในประเทศญี่ปุ่นเป็นเรื่องที่สำคัญและมีระบบระเบียบอย่างเคร่งครัด เพื่อรักษาความสะอาดและสิ่งแวดล้อม การทิ้งขยะในที่ที่ถูกต้องและการแยกประเภทขยะอย่างถูกวิธีเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมที่สะท้อนถึงการให้ความสำคัญกับความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม

ขยะจะถูกแบ่งออกเป็นหลายประเภท
1. ขยะที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ (Recycle)
2. ขยะที่ย่อยสลายได้ (ขยะเปียก)
3. ขยะทั่วไป (ขยะที่ไม่สามารถรีไซเคิลหรือย่อยสลายได้)
4. ขยะอันตราย เช่น แบตเตอรี่หรือหลอดไฟที่ใช้แล้ว

21. ห้ามบ้วนน้ำลายในสวนสาธารณะ

การบ้วนน้ำลายในที่สาธารณะ เช่น สวนสาธารณะในญี่ปุ่น ถือเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสมและไม่สุภาพ เนื่องจากถือว่าเป็นการแสดงถึงการไม่เคารพต่อผู้อื่นและสิ่งแวดล้อม ในญี่ปุ่นจะให้ความสำคัญกับความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อย การบ้วนน้ำลายอาจสร้างความรำคาญหรือมองว่าเป็นการทำให้พื้นที่สาธารณะไม่สะอาด ควรปฏิบัติตามมารยาทและดูแลสิ่งแวดล้อมให้สะอาดอยู่เสมอเพื่อให้คนอื่นสามารถเพลิดเพลินกับสวนสาธารณะได้อย่างสบายใจ

22. ห้ามสูบบุหรี่ในที่สาธารณะ

ในประเทศญี่ปุ่น การสูบบุหรี่ในที่สาธารณะโดยเฉพาะริมถนนหรือในสวนสาธารณะส่วนใหญ่นั้นถือเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสม และในหลายพื้นที่มีข้อห้ามอย่างชัดเจน โดยจะกำหนดให้สูบได้เฉพาะใน “พื้นที่สูบบุหรี่” ที่จัดไว้เท่านั้น การฝ่าฝืนอาจถูกปรับและสร้างความไม่พอใจให้กับคนรอบข้าง เพราะชาวญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับสุขภาพส่วนรวมและความสะอาดของสิ่งแวดล้อม ดังนั้นหากต้องการสูบบุหรี่ ควรสังเกตป้ายหรือมองหาพื้นที่ที่จัดไว้โดยเฉพาะ เพื่อแสดงความรับผิดชอบและเคารพผู้อื่น

23. เตรียมปลั๊กแปลงไฟ

ปลั๊กไฟญี่ปุ่นโดยทั่วไปจะเป็นแบบ Type A คือ ขาแบน 2 ขา ซึ่งแตกต่างจากปลั๊กไฟไทยที่ใช้ปลั๊กได้หลายแบบทั้งแบบขาแบนและกลม นอกจากนี้ แรงดันไฟฟ้าที่ญี่ปุ่นคือ 100V-120V ซึ่งต่ำกว่าไทย (220V) ดังนั้น หากนำอุปกรณ์ไฟฟ้าจากไทยไปใช้ที่ญี่ปุ่น ควรตรวจสอบว่าอุปกรณ์นั้นรองรับแรงดันไฟกว้าง (100-240V) หรือไม่ และอาจต้องใช้ ตัวแปลงปลั๊กไฟ (Adapter) ถ้าอุปกรณ์คุณรองรับเฉพาะ 220V แล้วเอาไปเสียบตรงที่ญี่ปุ่น อาจ เปิดไม่ติด หรือเสียหายได้

24. ห้ามทิปในญี่ปุ่น ถือเป็นการเสียมารยาท

ในวัฒนธรรมญี่ปุ่น การให้ทิปไม่ใช่เรื่องที่พบได้ทั่วไปเหมือนในหลายๆ ประเทศตะวันตกที่อาจจะมีการบังคับทิป ตรงกันข้าม ที่ประเทศญี่ปุ่นหากคุณให้ทิปพนักงานอาจงง หรือทำให้พนักงานถึงขั้นรู้สึกไม่สบายใจ เพราะคนญี่ปุ่นมองว่า การให้บริการที่ดีมันคือหน้าที่ ควรให้บริการอย่างดีที่สุดอยู่แล้ว ไม่ต้องได้รับสิ่งตอบแทนพิเศษ การเราจ่ายค่าบริการตามราคาที่กำหนดในบิลคือวิธีที่ถูกต้องและเป็นที่ยอมรับที่สุดในญี่ปุ่นแล้ว

25. เมื่อเข้าไปในร้านอาหารหรือร้านสะดวกซื้อ อย่าตกใจหากได้ยินเสียงตะโกน

เมื่อคุณเดินเข้าไปในร้านอาหารหรือร้านสะดวกซื้อในญี่ปุ่น มักจะได้ยินพนักงานตะโกนว่า “อิรัชชัยมาเซะ” (いらっしゃいませ / Irasshaimase!) ซึ่งเป็นการทักทายที่แสดงถึงความกระตือรือร้นและมิตรภาพที่อบอุ่นของเจ้าของร้าน ไม่ต้องตกใจว่าตัวเองทำอะไรผิด คำนี้ไม่เพียงแค่การทักทายทั่วไป แต่ยังเป็นการสะท้อนวัฒนธรรมการบริการที่มีชื่อเสียงของญี่ปุ่นที่เรียกว่า “โอโมเตนาชิ” (Omotenashi) ซึ่งหมายถึงการบริการที่ใส่ใจทุกรายละเอียดเพื่อให้ลูกค้ารู้สึกว่าพวกเขาได้รับการดูแลอย่างดีที่สุดนั่นเอง

“อิรัชชัยมาเซะ” (いらっしゃいませ / Irasshaimase!) มีความหมายว่า “ยินดีต้อนรับ / เชิญเข้ามาข้างในครับ/ค่ะ”

26. หากได้รับเงินทอนเกิน ต้องคืน

ในญี่ปุ่น หากคุณได้รับเงินทอนเกินจากการซื้อสินค้า หรือจากการใช้บริการ ควรคืนเงินส่วนที่เกินไปทันที เพราะความซื่อสัตย์และความตรงไปตรงมาถือเป็นค่านิยมสำคัญของคนญี่ปุ่น การเก็บเงินทอนที่เกินถือว่าไม่เหมาะสม และอาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดได้ หากเกิดกรณีเช่นนี้ ควรให้ความสำคัญกับการคืนเงินทอนที่เกินเพื่อแสดงความเคารพต่อเจ้าของร้าน และรักษามารยาทที่ดีในสังคมญี่ปุ่น ห้ามตีเนียนไม่รู้ไม่เห็น เพราะหากฝ่าฝืนจะมีโทษปรับตามดุลพินิจของศาลได้เลย

27. ร้านสะดวกซื้อญี่ปุ่น (7-11, Lawson, FamilyMart) มีของอร่อยและถูกมาก

ร้านสะดวกซื้อในญี่ปุ่นไม่ได้มีแค่ขนม หรือของใช้จุกจิกเท่านั้น แต่ยังเป็นแหล่งรวมอาหารพร้อมทานคุณภาพดี ราคาย่อมเยา และสะดวกสุดๆ ไม่ว่าจะเป็นข้าวกล่อง (เบนโตะ) โอนิกิริ แซนด์วิช หรือของหวานต่างๆ ที่หลายเมนูมีรสชาติเทียบเท่าร้านอาหารทั่วไป เหมาะสำหรับมื้อเร่งด่วนหรือการประหยัดงบระหว่างเที่ยวอย่างมาก นักท่องเที่ยวหลายๆ คนมักใช้ร้านสะดวกซื้อเป็นที่ฝากท้อง เพราะว่าถูกและอร่อย และที่สำคัญนักท่องเที่ยวบางคนยังเลือกซื้อของฝากจากที่นี่อีกด้วย

28. ตู้กดน้ำ ตู้กดอาหาร รวมถึงตู้ของเล่นหยอดเหรียญเยอะมาก

ญี่ปุ่นมีวัฒนธรรมตู้หยอดเหรียญที่หลากหลายและแพร่หลาย ตั้งแต่ตู้กดน้ำดื่มร้อน-เย็น ไปจนถึงตู้กดราเมง ตู้กดอุปกรณ์ไอที ของเล่นสะสม และของแปลกที่น่าสนใจ การพกเหรียญไว้ติดตัวจึงเป็นเรื่องที่ควรทำ โดยเฉพาะเหรียญ 100 เยน ซึ่งเป็นสกุลหลักในการใช้งานและหาแลกง่ายในร้านสะดวกซื้อหรือสถานีรถไฟ เพราะคุณอาจจะต้องใช้เหรียญเป็นจำนวนมากในการหยอดตู้เหล่านี้

Tip: ถ้าหากไม่สะดวกแลกเหรียญ 100 เยนที่ร้านสะดวกซื้อ สามารถแลกกับร้านตู้คีบได้เหมือนกัน แต่ต้องสังเกตว่าเป็นเหรียญ 100 เยน หรือเหรียญสำหรับหยอดตู้

29. รู้คำศัพท์พื้นฐาน เช่น ขอบคุณ (Arigatou) และ ขอโทษ (Sumimasen)

แม้คนญี่ปุ่นบางคนจะพูดภาษาอังกฤษได้บ้าง แต่การรู้คำพื้นฐานภาษาญี่ปุ่นเช่น “Arigatou” (ありがとう – ขอบคุณ), “Sumimasen” (すみません – ขอโทษ/ขอทาง) หรือ “Konnichiwa” (こんにちは – สวัสดี) จะช่วยให้คุณดูสุภาพและเป็นมิตรในสายตาคนญี่ปุ่น การใช้คำเหล่านี้แสดงถึงความพยายามและให้เกียรติเจ้าของภาษาอีกด้วย

30. อย่าปักหมุดผิดโรงแรม/ที่พัก (ชื่ออาจคล้ายกันมาก)

ชื่อที่พักในญี่ปุ่นมักซ้ำหรือคล้ายกันมาก เช่น มีชื่อเดียวกันแต่คนละเขต หรือแตกต่างกันแค่คำลงท้าย เช่น Hotel, Inn, Guesthouse จึงต้องตรวจสอบให้ชัดเจนก่อนเดินทาง ไม่เช่นนั้นอาจเสียเวลาเดินทางผิดที่หรือหลงทางได้ง่าย ควรเช็กทั้งชื่อ ที่อยู่ และพิกัดในแผนที่อย่างรอบคอบก่อนปักหมุด หรือให้แท็กซี่ขับไป

Tip: จดชื่อโรงแรม-ที่พัก ทั้งภาษาอังกฤษ และภาษาญี่ปุ่นเอาไว้ตั้งแต่อยู่ที่ไทยให้เรียบร้อย

31. การถ่ายรูป ไม่ควรถ่ายรูปบุคคลอื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต

ในญี่ปุ่น เรื่องสิทธิส่วนบุคคลถือเป็นเรื่องสำคัญมาก โดยเฉพาะการถ่ายภาพ หากคุณต้องการถ่ายภาพที่มีคนอื่นติดอยู่ในเฟรม โดยเฉพาะในระยะใกล้ หรือเห็นใบหน้าชัดเจน ควรขออนุญาตก่อนทุกครั้ง เพราะการถ่ายโดยไม่ขออาจถูกมองว่าเสียมารยาท หรือร้ายแรงถึงขั้นถูกตำหนิ หรือถึงขั้นแจ้งเจ้าหน้าที่ได้ ยิ่งในสถานที่ที่มีเด็กหรือคนแต่งชุดพื้นเมือง เช่น กิโมโน ควรระวังเป็นพิเศษเพื่อไม่ให้ละเมิดความเป็นส่วนตัวของผู้อื่นโดยไม่ตั้งใจ

32. เช็กสภาพอากาศล่วงหน้าทุกวัน

ควรเช็กสภาพอากาศล่วงหน้าทุกวัน เพราะญี่ปุ่นมีฝนฟ้าคล้ายเมืองหนาว อากาศแปรปรวนง่าย สภาพอากาศในญี่ปุ่นสามารถเปลี่ยนแปลงได้รวดเร็ว โดยเฉพาะในฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วงที่อุณหภูมิอาจสวิงสูงต่ำภายในวันเดียว และฝนมักมาตกแบบไม่ทันตั้งตัว แม้วันที่ดูแดดดีตอนเช้า ก็อาจมีฝนตกช่วงบ่ายได้ การตรวจพยากรณ์อากาศล่วงหน้าทุกวันก่อนออกจากที่พักจึงสำคัญมาก ควรพกร่มขนาดเล็กหรือเสื้อกันฝนติดตัวไว้ และเตรียมเสื้อผ้าที่ใส่แล้วสามารถปรับอุณหภูมิได้ง่าย เช่น เสื้อคลุมหรือเสื้อกันลม หากรู้สภาพอากาศล่วงหน้าจะช่วยทำให้เราสามารถปรับเปลี่ยนแผนการเดินทางได้เหมาะสมกับการเดินทางมากยิ่งขึ้น

33. เช็กเวลาเปิดร้าน – ร้านอาหารในญี่ปุ่นมักปิดเร็วหรือหยุดวันธรรมดา

ร้านอาหารในญี่ปุ่นหลายแห่ง โดยเฉพาะร้านเล็กๆ หรือร้านครอบครัว มักมีเวลาทำการที่จำกัด เช่น ปิดช่วงบ่ายหรือหยุดวันธรรมดา ซึ่งอาจไม่ตรงกับความคุ้นเคยของนักท่องเที่ยว ควรตรวจสอบเวลาทำการล่วงหน้าทางเว็บไซต์ Google Maps หรือแอปจองร้านอาหาร เพื่อไม่ให้พลาดมื้อสำคัญ หรือไปเจอร้านปิดในช่วงเวลาหิวพอดี หากไม่เช็กรายละเอียดบางครั้งอาจจะเดินไปเก้อก็เป็นได้

Tip: ใน Google Maps พิมพ์ชื่อร้านหรือสถาน ตรงภาพรวมจะมีรายละเอียดข้อมูลเกี่ยวกับ โลเคชั่น เวลาทำการ และราคาให้ตรวจสอบ

34. ร้านราเมง หลายร้านใช้ตู้กดเมนูก่อนนั่ง

ร้านราเมงในญี่ปุ่นหลายแห่ง โดยเฉพาะร้านที่เน้นความรวดเร็วและประหยัดเวลา จะมี “ตู้กดเมนู” อยู่หน้าร้านให้ลูกค้าเลือกและจ่ายเงินก่อนเข้าที่นั่ง โดยจะได้ตั๋วอาหาร (Meal Ticket) เพื่อนำไปยื่นให้พนักงานในครัว หากเป็นร้านที่ไม่มีภาษาอังกฤษ ควรศึกษาเมนูล่วงหน้าหรือใช้ Google Translate ช่วยแปลหน้าจอของตู้ จะช่วยให้คุณสั่งอาหารได้ถูกและไม่รู้สึกเก้ๆ กังๆ

Tip: ส่วนใหญ่ใช้เป็นเงินสด พยายามดูจังหวะที่ไม่มีใครใช้จะได้ไม่รู้สึกเกร็งหรือกดดัน

35. ร้านซูชิแบบ Kaiten (สายพาน) ราคาถูกมาก

ร้านซูชิสายพาน หรือ Kaiten Sushi เป็นทางเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับคนที่อยากลองซูชิคุณภาพดีในราคาย่อมเยา โดยแต่ละจานจะหมุนผ่านหน้าคุณบนสายพาน สามารถหยิบเองได้ตามใจ หรือสั่งเมนูพิเศษผ่านหน้าจอ ซึ่งจะมีสายพานด่วนส่งตรงมาที่โต๊ะ เป็นประสบการณ์ที่ทั้งอร่อย สนุก และไม่ต้องกังวลเรื่องการสั่งอาหารด้วยภาษา ซึ่งมีหลายร้านดังให้เลือกดังนั้นค่อยๆ ลิ้มลองและหาร้านที่เสิร์ฟรสชาติที่เหมาะกับตัวเอง

Tip: Kura Sushi ร้านซูชิสายพานชื่อดังจากญี่ปุ่นที่ได้รับความนิยม มีกาชาปองเป็นเอกลักษณ์ประจำร้าน เมื่อทานครบจำนวนจานสามารถลุ้น กาชาปอง ได้

36. สั่งอาหารแบบไม่มีเนื้อสัตว์ต้องระวัง

แม้จะสั่งเมนูที่ดูเหมือนไม่มีเนื้อสัตว์ เช่น ซุปผัก หรืออาหารเต้าหู้ แต่ควรระวังว่าในอาหารญี่ปุ่นจำนวนมากมักใช้ “ดาชิ” หรือเบสซุปที่ทำจากปลาแห้ง (คัตสึโอะบุชิ) หรือกระดูกหมูโดยไม่ระบุไว้ในชื่อเมนู หากคุณทานเจหรือมังสวิรัติ ควรเรียนรู้คำศัพท์สำคัญ เช่น “Niku nashi” (ไม่มีเนื้อ) หรือ “Dashi nashi” (ไม่มีซุปปลา) และแจ้งร้านล่วงหน้าอย่างชัดเจน

Tip: จุดสังเกตเพิ่มเติม ร้านที่มีสัญลักษณ์ Halal

37. ใช้ตะเกียบอย่างระมัดระวัง อย่าจิ้มตะเกียบลงในชามข้าว

ในวัฒนธรรมญี่ปุ่น การใช้ตะเกียบอย่างถูกต้องถือเป็นเรื่องสำคัญอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งห้ามจิ้มตะเกียบตั้งตรงลงในชามข้าว เพราะนี่ถือเป็นสัญลักษณ์ที่เชื่อมโยงกับพิธีกรรมงานศพและการเซ่นไหว้บรรพบุรุษ การกระทำเช่นนี้จึงถูกมองว่าเป็นเรื่องไม่สุภาพและไม่เหมาะสมเมื่อรับประทานอาหารในชีวิตประจำวัน เพื่อแสดงความเคารพและรักษามารยาท ควรวางตะเกียบไว้บนที่วางตะเกียบหรือวางเรียงไว้ข้างจานแทน

38. ไม่ควรใช้ตะเกียบส่งอาหารโดยตรงให้กัน

ในวัฒนธรรมญี่ปุ่น การส่งอาหารโดยใช้ตะเกียบจากมือหนึ่งไปยังมืออีกข้างหนึ่งถือเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงอย่างยิ่ง เนื่องจากพฤติกรรมนี้มีความหมายที่เชื่อมโยงกับพิธีกรรมงานศพ ที่ในพิธีจะมีการส่งต่อกระดูกของผู้วายชนม์ด้วยตะเกียบระหว่างญาติพี่น้อง ดังนั้นการทำแบบนี้ในชีวิตประจำวันจึงถือว่าเป็นการกระทำที่ไม่สุภาพและอาจทำให้คนญี่ปุ่นรู้สึกไม่สบายใจ เพื่อความเหมาะสม ควรส่งอาหารด้วยวิธีอื่น เช่น วางจานไว้ตรงกลางโต๊ะและหยิบเองแทน

39. ควรกินให้หมดจาน ถ้าทิ้งอาหารถือเป็นการเสียมารยาท

การรับประทานอาหารให้หมดจานถือเป็นการแสดงความเคารพต่อผู้เตรียมอาหารและทรัพยากรที่ใช้ทำอาหาร การทิ้งอาหารเหลือโดยไม่จำเป็นถือเป็นการเสียมารยาทและอาจถูกมองว่าไม่ให้เกียรติคนที่ลงแรงทำอาหาร นอกจากนี้ยังสะท้อนถึงการรักษาสิ่งแวดล้อมและไม่ทำให้เกิดขยะมากเกินไป ดังนั้นจึงควรตักมาแต่พอดีและกินให้หมดทุกอย่างบนจาน เพื่อแสดงความรับผิดชอบและมารยาทที่ดีในการรับประทานอาหาร

40. ในร้านอาหารญี่ปุ่นมักมีจุดให้วางกระเป๋าหรือกระเป๋าสตางค์

ร้านอาหารญี่ปุ่นหลายแห่งมักมีพื้นที่หรือที่วางเฉพาะสำหรับวางกระเป๋าหรือกระเป๋าสตางค์ เพื่อช่วยให้ลูกค้าไม่ต้องวางของเหล่านี้บนพื้นหรือบนโต๊ะ ซึ่งเป็นการแสดงความเคารพและรักษาความสะอาดในร้าน การใช้จุดวางกระเป๋านี้ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายและทำให้โต๊ะอาหารดูเรียบร้อยมากขึ้น หากคุณเห็นที่วางกระเป๋าในร้าน อย่าลืมใช้เพื่อความสุภาพและให้เป็นไปตามธรรมเนียมของร้าน

Tip: ส่วนใหญ่จะมีตะกร้าวางอยู่ใต้เก้าอี้ หรือบริเวณใต้โต๊ะ

41. สิ่งที่คนญี่ปุ่นทำตอนเรียกเก็บเงิน

เวลาต้องการเรียกเก็บเงินในร้านอาหารที่ญี่ปุ่น โดยเฉพาะร้านเล็กๆ หรือร้านที่ไม่มีปุ่มเรียกพนักงาน คนญี่ปุ่นมักจะยกมือเล็กน้อย หรือใช้มือทำสัญลักษณ์รูปกากบาท พร้อมพูดว่า “Sumimasen” (ขอโทษครับ/ค่ะ) แทนการตะโกนหรือยกเสียงดัง ซึ่งเป็นวิธีสุภาพตามวัฒนธรรมญี่ปุ่น พนักงานจะนำบิลมาให้ที่โต๊ะ จากนั้นลูกค้าส่วนใหญ่จะลุกไปจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์ ไม่ชำระที่โต๊ะเหมือนในบางประเทศ สำหรับร้านที่มีปุ่มเรียก (เรียกว่า “Call Button”) ให้กดปุ่มเพื่อแจ้งพนักงานแทนการเรียกด้วยเสียง ทั้งหมดนี้แสดงถึงความสุภาพ เรียบร้อย และเคารพซึ่งกันและกันในสังคมญี่ปุ่น

Tip: บางร้านอาจจะวางใบเสร็จไว้ให้ตั้งแต่เสิร์ฟอาหารเสร็จเรียบร้อย เราสามารถถือไปจ่ายที่แคชเชียร์ได้เลย

42. เมื่อจ่ายเงินส่วนใหญ่จะจ่ายที่แคชเชียร์ ไม่ได้จ่ายที่โต๊ะ

ในร้านอาหาร หรือร้านค้าส่วนใหญ่ในญี่ปุ่น การชำระเงินมักจะทำที่แคชเชียร์หรือเคาน์เตอร์ชำระเงิน ไม่ใช่ที่โต๊ะเหมือนในหลายประเทศ นั่นหมายความว่าคุณควรเก็บบิลหรือใบเสร็จแล้วเดินไปจ่ายที่จุดรับเงินก่อนออกจากร้าน วิธีนี้ช่วยให้ระบบการจัดการร้านรวดเร็วและเป็นระเบียบมากขึ้น สำหรับร้านบางแห่งที่บริการเสิร์ฟถึงโต๊ะจริง ๆ จะมีการแจ้งไว้ชัดเจน แต่โดยทั่วไปแล้วการเดินไปจ่ายที่แคชเชียร์ถือเป็นมารยาทพื้นฐานที่ควรปฏิบัติ

43. เวลาชำระเงิน ควรวางเงินลงในถาดที่ร้านจัดเตรียมไว้

เมื่อชำระเงินในร้านค้าหรือร้านอาหารที่ญี่ปุ่น ควรวางเงินลงในถาดเล็ก ๆ ที่ทางร้านเตรียมไว้ แทนการยื่นให้พนักงานโดยตรง เพราะถือเป็นมารยาทที่ดีและเป็นธรรมเนียมปฏิบัติทั่วไป การใช้ถาดช่วยให้การรับ-ส่งเงินเป็นระเบียบ ลดความผิดพลาด และแสดงถึงความสุภาพในการติดต่อระหว่างลูกค้าและพนักงาน ซึ่งเป็นสิ่งที่ชาวญี่ปุ่นให้ความสำคัญอย่างมาก

44. ห้างญี่ปุ่นใหญ่ๆ ปิด 20:00 อย่าช้อปเพลินจนลืมเวลา

ห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ในญี่ปุ่น เช่น Isetan, Takashimaya, Daimaru หรือแม้แต่ห้างในสถานีรถไฟอย่าง JR หรือ Odakyu มักจะปิดประมาณ 20:00 น. ซึ่งถือว่าค่อนข้างเร็วเมื่อเทียบกับในหลายประเทศ ดังนั้น หากวางแผนจะช้อปปิง ควรเผื่อเวลาไว้ล่วงหน้า อย่ารอจนค่ำเกินไป เพราะคุณอาจเจอร้านเริ่มเก็บของหรือหยุดให้ลูกค้าเข้าก่อนเวลาปิดจริงด้วยซ้ำ

45. ซื้อของเกิน 5,000 เยน ในร้านที่ร่วม Tax-Free จะสามารถยกเว้น VAT ได้

นักท่องเที่ยวต่างชาติสามารถขอ ยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) 10% ได้ หากซื้อสินค้าครบขั้นต่ำที่กำหนด (โดยทั่วไปคือ 5,000 เยนขึ้นไป) ในร้านที่มีป้าย “Tax-Free” โดยต้องแสดง “พาสปอร์ตตัวจริง” ขณะชำระเงิน ร้านจะติดใบเสร็จยืนยันในหนังสือเดินทางของคุณ และห้ามเปิดใช้สินค้าทันทีจนกว่าจะออกจากญี่ปุ่น ควรตรวจสอบข้อกำหนดแต่ละร้าน เพราะบางที่แยกยอดของกินและของใช้ไว้คนละเงื่อนไข

46. ร้าน Don Quijote ขายของทุกอย่างตั้งแต่ขนมยันแบรนด์เนม

Don Quijote (ดองกี้) เป็นร้านช้อปปิงยอดฮิตของนักท่องเที่ยวที่มีสินค้าครบแทบทุกอย่าง ตั้งแต่ขนมยอดนิยม เครื่องสำอาง อุปกรณ์ไฟฟ้า ของฝากยันแบรนด์เนมหรูในราคาลดพิเศษแต่ต้องเลือกดีๆ ดองกี้มีสินค้าหลากหลายมากจนอาจดูแน่นและหายาก ดังนั้นเราควรจะมีรายการในใจไว้ก่อนและค่อยๆ หา และอย่าลืมเช็กราคาเทียบกับร้านอื่นหากเป็นของชิ้นใหญ่หรือมีมูลค่าสูงด้วย

47. อย่าลืมซื้อของใช้ประจำวันที่ร้านสะดวกซื้อ หรือ Drugstore เพราะราคาถูก

ร้านสะดวกซื้อและร้าน Drugstore ในญี่ปุ่นเป็นแหล่งซื้อของใช้ประจำวันที่สะดวกและครบครัน ไม่ว่าจะเป็นของใช้ส่วนตัว เครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์สุขภาพ หรือของกินว่าง ราคาสินค้าในร้านเหล่านี้มักถูกกว่าร้านทั่วไปและยังมีคุณภาพดีมาก โดยเฉพาะสินค้าแบรนด์ญี่ปุ่นที่ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง การแวะซื้อของที่ร้านเหล่านี้จึงช่วยให้คุณประหยัดเงินและมั่นใจในคุณภาพของสินค้าที่ซื้อมาใช้ระหว่างทริปได้อย่างสบายใจ

48. พิพิธภัณฑ์/สวนสนุกชื่อดัง เช่น Ghibli Museum, USJ, Disney ต้องจองตั๋วล่วงหน้าเท่านั้น

สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมอย่าง Ghibli Museum, Universal Studios Japan (USJ) และ Tokyo Disney Resort มักจำกัดจำนวนผู้เข้าชมต่อวัน และไม่ขายตั๋วหน้าประตูในบางช่วง จึงจำเป็น ต้องจองตั๋วล่วงหน้า ผ่านเว็บไซต์หรือแอปท่องเที่ยว เช่น Klook หรือทางการของแต่ละสถานที่ การจองล่วงหน้าจะช่วยให้คุณวางแผนเที่ยวได้ราบรื่น และไม่พลาดประสบการณ์สำคัญ

49. อย่าลืมสำรวจเวลารถไฟเที่ยวสุดท้ายกลับที่พัก เพื่อไม่ต้องติดค้างกลางทาง

การตรวจสอบเวลาออกของรถไฟเที่ยวสุดท้ายเป็นสิ่งสำคัญมากในญี่ปุ่น เพราะระบบขนส่งสาธารณะส่วนใหญ่จะหยุดให้บริการในเวลาค่อนข้างเร็ว หากคุณพลาดเที่ยวรถไฟสุดท้าย อาจทำให้ต้องติดค้างหรือเสียเวลาหาที่พักฉุกเฉินในที่ที่ไม่คุ้นเคย การวางแผนล่วงหน้าด้วยการเช็กตารางรถไฟผ่านแอปหรือเว็บไซต์อย่าง Google Maps จะช่วยให้คุณเดินทางกลับที่พักได้อย่างปลอดภัยและสบายใจตลอดทริป

50. พยายามหาที่พักใกล้ๆ กับสถานีรถไฟ

การเลือกที่พักที่อยู่ใกล้สถานีรถไฟจะช่วยให้การเดินทางในญี่ปุ่นสะดวก และประหยัดเวลามากขึ้น เนื่องจากระบบขนส่งสาธารณะโดยเฉพาะรถไฟ เป็นหัวใจหลักของการเดินทางในประเทศญี่ปุ่น หากพักใกล้สถานีหลักหรือสายสำคัญ จะสามารถเชื่อมต่อไปยังสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ได้ง่ายขึ้น มีเวลาท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นอีกหน่อย อีกทั้งยังสะดวกเวลาเช็กอิน–เช็กเอาต์ หรือลากกระเป๋าเดินทาง โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ที่มีสถานีรถไฟขนาดใหญ่ เช่น โตเกียว โอซาก้า หรือเกียวโต การเดินไม่กี่นาทีถึงที่พักจะช่วยให้ทริปของคุณลื่นไหลและสบายตัวมากขึ้นอย่างชัดเจน เพราะถ้าหากคุณเที่ยวหลายวันแน่นอนว่าจะต้องเดินเยอะมากๆ นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่มักจะมีอาการเหนื่อยล้าจากการเดินสะสม การพักใกล้สถานีจะช่วยลดอาการเหนื่อยล้าของคุณ

51. ห้องพักแคบเป็นเรื่องปกติของที่ญี่ปุ่น

ห้องพักในญี่ปุ่น โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ เช่น โตเกียว โอซาก้า มักมีขนาดเล็กกว่าที่คิดที่นักท่องเที่ยวต้องเผชิญ ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติของญี่ปุ่น เพราะที่ญี่ปุ่นมีพื้นที่จำกัดดังนั้น การออกแบบห้องพักจึงมักเน้นการใช้พื้นที่อย่างคุ้มค่าอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ถึงแม้จะมีขนาดเล็กแต่ก็เต็มไปด้วยความสะดวกสบายและฟังก์ชันการใช้งานที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น โรงแรมราคาปานกลาง หรือโรงแรมธุรกิจ (Business Hotel) ก็มักออกแบบให้มีพื้นที่เพียงพอสำหรับการนอน พักผ่อน และจัดเก็บของเบื้องต้น แต่ไม่เหมาะกับการใช้ชีวิตในห้องนานๆ หากคุณไม่ซีเรียสกับพื้นที่ใช้สอย และเน้นออกไปเที่ยวข้างนอกทั้งวัน ห้องแบบนี้จะประหยัด คุ้มค่า และเพียงพออย่างแน่นอน

52. ที่พักในญี่ปุ่นมีหลายแบบแล้วต้องเลือกแบบไหน?

ที่พักในประเทศญี่ปุ่นมีหลายแบบทั้ง โรงแรม โฮสเทล หรือบ้านพัก ซึ่งแต่ละประเภทก็มีความสะดวกสบายและราคาแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับความต้องการของใช้งานของนักท่องเที่ยว บางคนเน้นเที่ยวแค่อาศัยนอนพักผ่อนเฉยๆ ก็อาจจะหาโรงแรม หรือโฮสเทลราคาประหยัด แต่ถ้ามากันแบบครอบครัวก็อาจจะต้องเลือกเป็นบ้านพัก หรือโรงแรมระดับปานกลางขึ้นไปเพื่อความสะดวก

ที่พักในญี่ปุ่นมีกี่แบบ?
1. โรงแรม – มีตั้งแต่ 1 ดาวไปจนถึง 5 ดาว ตั้งแต่แบบราคาประหยัดไปจนถึงแบบหรูหรา สามารถเลือกได้ตามที่เราต้องการ
2. โฮสเทล – โดยทั่วไปแล้วโฮสเทลจะมีการแชร์ห้องนอนกับผู้พักคนอื่น ๆ ซึ่งมักจะมีเตียงแบบ bunk bed (เตียงสองชั้น) สำหรับการนอนรวมกันในห้องพักแบบแชร์เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการประหยัดงบ
3. เรียวกัง – ที่พักแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่นที่ให้ประสบการณ์การพักผ่อนในรูปแบบญี่ปุ่นแท้ ๆ โดยทั่วไปเรียวกังจะมีลักษณะเป็นบ้านพักหรือโรงแรมที่ตกแต่งตามสไตล์ญี่ปุ่นโบราณ มีการตกแต่งที่ใช้เสื่อทาทามิ (Tatami) และประตูเลื่อนแบบญี่ปุ่น
4. บ้านพัก – เหมาะสำหรับการไปหลายๆ คน เป็นกลุ่มหรือครอบครัว ที่เที่ยวด้วยตัวเอง

53. ที่ญี่ปุ่นมีตู้ล็อกเกอร์อัตโนมัติให้เช่า

ในญี่ปุ่นจะพบ ตู้ล็อกเกอร์อัตโนมัติ ให้เช่าทั่วไปตามสถานีรถไฟใหญ่ๆ ห้างสรรพสินค้า หรือแหล่งท่องเที่ยว ซึ่งเป็นตัวช่วยที่สะดวกมากสำหรับนักเดินทางที่ไม่อยากพกกระเป๋าหนักติดตัวตลอดทั้งวัน ตู้เหล่านี้มีหลายขนาด ตั้งแต่สำหรับฝากของชิ้นเล็กไปจนถึงกระเป๋าเดินทางขนาดใหญ่ ค่าบริการจะขึ้นอยู่กับขนาดและระยะเวลาการฝาก โดยสามารถชำระด้วยเหรียญ ธนบัตร หรือบัตร IC เช่น Suica/ICOCA บางรุ่นยังสามารถตั้งรหัสและเปิด–ปิดแบบอิเล็กทรอนิกส์ได้อีกด้วย เป็นทางเลือกที่ช่วยให้เที่ยวได้คล่องตัวขึ้นมาก โดยเฉพาะช่วงก่อนเช็กอินหรือหลังเช็กเอาต์จากที่พัก
ทำไมคนถึงชอบใช้
1. เที่ยวต่อได้แบบไม่ต้องลากกระเป๋า
2. เหมาะสำหรับรอเวลาเช็กอิน หรือเช็กเอาต์แล้ว
3. ใช้งานง่าย ไม่ต้องคุยกับพนักงาน ชำระเงินด้วย บัตร IC เช่น Suica/ICOCA ได้

Tip: ถ้าตู้ล็อกเกอร์เต็ม สามารถใช้แอป Coin Looker Navi หรือ Eobo Cloak หาตู้ว่างใกล้ตัวได้

54. คนญี่ปุ่นนิยมแช่ออนเซ็น

การแช่ออนเซ็น หรือบ่อน้ำพุร้อนธรรมชาติ เป็นหนึ่งในวัฒนธรรมที่อยู่คู่กับวิถีชีวิตของชาวญี่ปุ่นมานานหลายร้อยปี และยังคงเป็นกิจกรรมยอดนิยมทั้งในหมู่คนท้องถิ่นและนักท่องเที่ยว ออนเซ็นไม่ใช่แค่เพื่อความผ่อนคลายเท่านั้น แต่ยังเชื่อว่ามีสรรพคุณช่วยบรรเทาอาการเมื่อยล้า บำรุงผิว และส่งผลดีต่อสุขภาพ หลายเมืองในญี่ปุ่นมีออนเซ็นหลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่แบบกลางแจ้งท่ามกลางธรรมชาติ ไปจนถึงในโรงแรมหรือเรียวกัง การแช่ออนเซ็นมีมารยาทเฉพาะ เช่น ต้องล้างตัวก่อนลงบ่อ ห้ามใส่เสื้อผ้า และบางแห่งอาจไม่อนุญาตให้ผู้มีรอยสักเข้าใช้บริการ จึงควรศึกษาก่อนเพื่อให้เคารพวัฒนธรรมอย่างเหมาะสม

สิ่งที่ควรรู้ก่อนแช่ออนเซ็น
1. ต้องเปลือยกาย 100%
2. ชำระล้างตัวก่อนลงแช่ (อาบน้ำ สระผม)
3. ห้ามนำผ้าขนหนูผืนใหญ่ลงแช่
4. ห้ามถ่ายรูป ห้ามใช้มือถือ
5. อย่าส่งเสียงดัง
6. กรณีที่มีรอยสัก อาจจะโดนห้ามเข้าในบางที่

55. ระวังค่าธรรมเนียมรูดบัตรต่างประเทศ

การใช้บัตรเครดิตไทยรูดซื้อสินค้าหรือชำระเงินในญี่ปุ่นอาจมี ค่าธรรมเนียมแปลงสกุลเงิน (FX fee) หรือค่าธรรมเนียมต่างประเทศที่บางใบอาจสูงถึง 2–3% ต่อรายการ แนะนำให้ตรวจสอบเงื่อนไขกับธนาคารผู้ออกบัตรล่วงหน้า หรือใช้บัตรที่ไม่มีค่าธรรมเนียมต่างประเทศ เช่น บัตรท่องเที่ยวโดยเฉพาะ หรือเลือกชำระด้วยเงินสด/แอปแทนในกรณีที่เหมาะสม

56. การขับรถในประเทศญี่ปุ่น

การขับรถในญี่ปุ่นอาจเป็นทางเลือกที่สะดวกสำหรับผู้ที่ต้องการเที่ยวแบบยืดหยุ่น หรือไปยังพื้นที่ชนบทที่ระบบขนส่งไม่ครอบคลุม อย่างไรก็ตาม ควรเตรียมตัวให้พร้อม เช่น ต้องมีใบขับขี่สากล (International Driving Permit) ที่ออกตามอนุสัญญาเจนีวา 1949 และควรคุ้นเคยกับการขับรถเลนซ้าย ระบบสัญญาณจราจร และป้ายภาษาญี่ปุ่นที่อาจอ่านยาก นอกจากนี้ ที่จอดรถในเมืองใหญ่มักมีจำกัดและมีค่าบริการสูง จึงควรวางแผนล่วงหน้า หรือใช้แอปช่วยหาที่จอดรถเพื่อความสะดวกการขับรถในญี่ปุ่นอาจดูง่าย เพราะถนนดีรถไม่เยอะ แต่ที่นี่เขา “จริงจังกับกฎจราจร” ระดับที่ว่าไม่มีคำว่า “เตือน” ถึงแม้จะเป็นครั้งแรกก็ตาม จับจริง ปรับจริง จ่ายเงินทันที หรืออาจถึงขั้นเสียคะแนนใบขับขี่เลยก็มี

กฎที่คนมักจะเผลอทำผิดกัน
1. ใช้โทรศัพท์ขณะขับขี่ (แม้จะหยิบดูแผนที่)
2. จอดในที่ห้ามจอด (No Parking Zone)
3. ไม่หยุดที่ “ทางม้าลายไม่มีไฟ”
4. ฝ่าไฟแดงแม้จะเป็นแค่เหลือง
5. ไม่เปิดไฟเลี้ยว / เปิดช้าเกินไป

จะเช่ารถขับที่ญี่ปุ่นต้องมีอะไรบ้าง?
1. ต้องมีใบขับขี่สากล (International Driving Permit)
2. หนังสือเดินทาง
3. บัตรเครดิต
4. ประกันรถเช่า

57. แท็กซี่ในญี่ปุ่นประตูเปิด-ปิดอัตโนมัติ อย่าดึงประตูเอง

แท็กซี่ในญี่ปุ่นส่วนใหญ่ โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ จะมีระบบ ประตูเปิด-ปิดอัตโนมัติ โดยคนขับจะควบคุมจากฝั่งคนขับ คุณไม่จำเป็น (และไม่ควร) เปิดหรือปิดประตูด้วยตัวเอง เพราะอาจทำให้ระบบพัง หรือสร้างความตกใจให้คนขับได้ ถือเป็นมารยาทพื้นฐานเล็กๆ ที่นักท่องเที่ยวควรรู้ไว้ เพื่อให้การโดยสารราบรื่นและไม่ทำให้พนักงานขับรถลำบากโดยไม่ตั้งใจ

58. หากทำของหายในญี่ปุ่น มีโอกาสสูงมากที่จะได้คืน! ลองแจ้งสถานีตำรวจ

หนึ่งในเรื่องน่าประทับใจของญี่ปุ่นคือความซื่อสัตย์ของผู้คน หากคุณลืมของไว้ในร้าน รถไฟ หรือแม้แต่บนถนน มีโอกาสสูงมากที่จะมีคนเก็บไปแจ้งความหรือนำไปฝากไว้ที่สถานที่ใกล้เคียง เช่น สถานีรถไฟหรือสถานีตำรวจ การติดต่อหรือไปแจ้งของหายกับเจ้าหน้าที่ในบริเวณนั้นจึงมีความเป็นไปได้สูงที่จะได้ของคืน ซึ่งเป็นสิ่งที่หายากในหลายประเทศ

59. เวลาในญี่ปุ่นเร็วกว่าประเทศไทย 2 ชั่วโมง

เวลาของประเทศญี่ปุ่นเร็วกว่าประเทศไทยอยู่ 2 ชั่วโมง เช่น ถ้าในประเทศไทยเป็นเวลา 12:00 น. ที่ญี่ปุ่นจะเป็นเวลา 14:00 น. การรู้ความแตกต่างของเวลานี้สำคัญมากในการวางแผนการเดินทาง นัดหมาย หรือติดต่อสื่อสารกับคนในประเทศญี่ปุ่น รวมถึงการจัดการเวลาในสนามบินและการเดินทางระหว่างประเทศ เพื่อหลีกเลี่ยงความสับสนและให้ทริปเดินทางเป็นไปอย่างราบรื่น

60. ฤดูกาล ในประเทศญี่ปุ่น

อุณหภูมิในญี่ปุ่นมีความแตกต่างกันไปตามภูมิภาคและจังหวัด ควรเช็คพยากรณ์อากาศในแต่ละเมืองที่จะเดินทางไป เพื่อที่จะได้จัดเตรียมกระเป๋าเสื้อผ้าได้อย่างเหมาะสม และรู้สึกแฮปปี้กับการได้เที่ยวในจังหวัดที่ชอบในฤดูที่เหมาะสม

ในประเทศญี่ปุ่นมีทั้งหมด 4 ฤดูหลักๆ ได้แก่
1. ฤดูใบไม้ผลิ (Spring) – 春 (はる, Haru) ช่วงเวลาประมาณเดือนมีนาคม – พฤษภาคม
ฤดูใบไม้ผลิ เป็นช่วงที่อากาศอุ่นขึ้นและมีการบานของดอกซากุระ (Cherry Blossom) ที่เป็นสัญลักษณ์ของฤดูนี้ ซึ่งทำให้คนญี่ปุ่นนิยมออกไปชมดอกไม้ในที่ต่างๆ และจัดงานฮานามิ (Hanami) หรืองานชมดอกซากุระกัน
อุณหภูมิ: โดยทั่วไปอุณหภูมิในฤดูใบไม้ผลิจะอยู่ระหว่าง 5°C – 20°C


2. ฤดูร้อน (Summer) – 夏 (なつ, Natsu) ช่วงเวลาประมาณเดือนมิถุนายน – สิงหาคม
ฤดูร้อน เป็นช่วงที่ญี่ปุ่นอากาศจะร้อนและชื้น โดยจะมีการเริ่มต้นของฤดูฝนในเดือนมิถุนายน ต่อมาฤดูร้อนจะมีเทศกาลต่างๆ เช่น เทศกาลดอกไม้ไฟ (Hanabi Taikai) ที่จัดในหลายๆ เมือง
อุณหภูมิ: โดยทั่วไปอุณหภูมิในฤดูใบไม้ผลิจะอยู่ระหว่าง 25°C – 35°C แต่ในบางภูมิภาค เช่น ในเมืองใหญ่ๆ อย่างโตเกียวและโอซาก้าอาจจะร้อนถึง 40°C ได้


3. ฤดูใบไม้ร่วง (Autumn) – 秋 (あき, Aki) ช่วงเวลาประมาณเดือนกันยายน – พฤศจิกายน
ฤดูใบไม้ร่วง เป็นช่วงที่ใบไม้เปลี่ยนสีเป็นสีแดงและสีทอง สร้างภาพที่สวยงามมาก ญี่ปุ่นจะมีการเดินชมใบไม้เปลี่ยนสีในหลายๆ ที่ เช่น ในภูเขาและสวนสาธารณะ
อุณหภูมิ: เดือนกันยายนจะยังคงมีอุณหภูมิอยู่ที่ 20°C – 30°C แต่ในเดือนตุลาคมถึงพฤศจิกายน อุณหภูมิจะลดลงมาอยู่ที่ 10°C – 20°C


4.ฤดูหนาว (Winter) – 冬 (ふゆ, Fuyu) ช่วงเวลาประมาณเดือนธันวาคม – กุมภาพันธ์
ฤดูหนาวในญี่ปุ่นอากาศจะหนาวมาก โดยเฉพาะในภูมิภาคทางตอนเหนือ เช่น ฮอกไกโด ซึ่งจะมีหิมะตกหนักและเหมาะกับการเล่นสกีและสโนว์บอร์ด ส่วนทางตอนใต้ เช่น โอกินาวา อากาศจะอุ่นกว่า
อุณหภูมิ: กลางวันอุณหภูมิจะอยู่ระหว่าง 15°C – 20°C แต่ถ้าเป็นกลางคืนอาจจะต่ำกว่า 5°C ไปจนถึง -5°C

Share :

บทความที่เกี่ยวข้อง

สถานที่ท่องเที่ยวญี่ปุ่น

บทความล่าสุด